ปัจจุบันทุกอุตสาหกรรมต่างก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงานทั้งสิ้น ไม่เว้นแต่ในอุตสาหกรรมการแพทย์ (Health Care) ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ คือ เทคโนโลยีบ่งชี้อัตโนมัติ (Automatic Identification) หรือ “ออโต้ไอดี” (Auto ID)
Auto ID โซลูชั่นที่ขาดไม่ได้สำหรับ Health Care ยุค 4.0
ออโต้ไอดี (Automatic Identification : Auto ID) ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือแสดงตัวตนของสิ่งมีชีวิตและวัตถุต่างๆ ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน เพื่อความสะดวกในการดำเนินงานที่ต้องอาศัยการบันทึกข้อมูลอย่างรวดเร็ว แม่นยำ แทนการนับชิ้นหรือจดบันทึกด้วยมือ
และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในขั้นตอนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเรียกใช้ การตรวจสอบ ในขณะที่หลากหลายบริษัทและห้างร้านนำเทคโนโลยีออโต้ไอดีดังกล่าวมาใช้ร่วมกับขั้นตอนการผลิตสินค้า การควบคุมสินค้าคงคลัง และโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ
ยกตัวอย่างเช่น ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีออโต้ไอดีซึ่งคิดค้นและออกแบบมาอย่างชาญฉลาดในรูปแบบของฉลาก (Label) เครื่องพิมพ์ (Printer) เครื่องอ่าน (Reader) ฯลฯ มาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการรับ-จ่ายโลหิตโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยที่ต้องใช้เลือดเป็นหลัก
เนื่องจากโลหิตที่ถูกลำเลียงเข้า-ออกสภากาชาดไทยมีจำนวนเป็นร้อยเป็นพันหน่วยในแต่ละวัน ดังนั้นวิธีการใช้เจ้าหน้าที่ตรวจนับ ป้อนข้อมูล และสั่งพิมพ์ฉลากทีละใบด้วยระบบแมนนวล (Manual) จึงไม่สามารถตอบโจทย์การทำงานของศูนย์ฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นการระบุข้อมูลด้วยฉลากถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากในกระบวนการจัดการโลหิตของสภากาชาดไทย เพราะฉลากเป็นตัวบ่งชี้ข้อมูลและคุณสมบัติต่างๆ ที่จะติดอยู่กับถุงเลือดหรือหลอดแก้วเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต หรือ สเต็มเซลล์ (Stem Cell) ในทุกขั้นตอน
นับตั้งแต่การบริจาคไปจนถึงการจ่ายให้กับโรงพยาบาลและห้องปฏิบัติการต่างๆ ด้วยเหตุนี้สภากาชาดไทยจึงต้องมั่นใจว่าฉลากที่ใช้ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพ ทนทาน ไม่หลุดลอก เลอะเลือน หรือฉีกขาดง่าย และนำระบบออโต้ไอดีเข้ามาช่วยให้เกิดการบริหารจัดการงานที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และแม่นยำ
เพราะถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดหรือความล่าช้าในระหว่างการระบุข้อมูลฉลากเหล่านี้ นั่นอาจหมายถึงความเสี่ยงถึงชีวิตของผู้ป่วยได้
มร. ไดสุเกะ ทัตสึตะ หัวหน้ากลุ่มบริษัทซาโต้ ภูมิภาคเอเชีย และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซาโต้ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด และ บริษัท ซาโต้ ออโต้ไอดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง และช่วยผลักดันอุตสาหกรรมการแพทย์เข้าสู่กระบวนการบริหารจัดการ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
เราได้ผลิต และให้บริการด้านโซลูชั่นออโต้ไอดีแบบบูรณาการให้แก่สภากาชาดไทยในรูปแบบของฉลากติดถุงเลือด และสติกเกอร์ติดหลอดแก้วบรรจุสเต็มเซลล์ซึ่งได้รับมาจากผู้บริจาค ซึ่งจะบ่งบอกข้อมูลสำคัญ ได้แก่ กรุ๊ปเลือด วันหมดอายุ และหมายเลขของเลือดหรือสเต็มเซลล์ที่บรรจุอยู่ภายใน รวมทั้งหมดกว่า 60 รูปแบบ
นอกจากนี้ สภากาชาดไทยยังใช้โซลูชั่นเครื่องพิมพ์ฉลาก ซึ่งติดตั้งระบบ AEP (Application-enabled printing) ลิขสิทธิ์เฉพาะของซาโต้ ทำให้สามารถพิมพ์ฉลากได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่สามารถพิมพ์ฉลากได้อย่างรวดเร็วกว่า 5,000 ใบภายในเวลาไม่กี่นาที เปลี่ยนจากเดิมที่ต้องป้อนข้อมูลและสั่งพิมพ์ฉลากทีละใบ ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองเวลา และแรงงาน ได้มากขึ้น
“ฉลากที่ใช้ติดบนหลอดสเต็มเซลล์สามารถรองรับอุณหภูมิได้ถึงต่ำสุดที่ -30 องศา และทนทานต่อการปั่นในน้ำยาแยกพลาสม่ากว่า 4,000 รอบได้ เนื่องจากผลิตจากกาวห้องเย็นชนิดพิเศษที่ผ่านการทดสอบคำนวณอุณหภูมิ และริบบอน (หมึกพิมพ์) คุณภาพสูงที่สามารถทนต่อความเย็นในระดับอุณหภูมิเย็นจัดได้ มีคุณสมบัติไม่หลุดลอกเมื่อสัมผัสสารเคมีทางการแพทย์”
ด้าน อุดม ติ่งต้อย หัวหน้าฝ่ายผลิตน้ำยาแอนติซีรั
ยังต้องอาศัยเครื่องมือเครื่องใช้ที่ได้คุณภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ขั้นตอนดำเนินไปอย่างราบรื่น รวมถึงป้องกันความผิดพลาดในขั้นตอนการลำเลียง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้ป่วยได้ เนื่องจากกระบวนการบริจาคเลือดและสเต็มเซลล์ของสภากาชาดไทยต้องใช้ฉลากในปริมาณที่เยอะมากต่อวัน
เราจึงต้องมีระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถทำการทดสอบและส่งต่อเลือดและสเต็มเซลล์ไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วที่สุด หลังจากเริ่มใช้โซลูชั่นออโต้ไอดี นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา
สภากาชาดสามารถร่นระยะเวลาในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการบ่งชี้อัตลักษณ์ (Identification) ในการรับ-จ่ายโลหิต ส่วนประกอบของโลหิต และสเต็มเซลล์ลงได้ถึง 97% เลยทีเดียว
ไม่หยุดพัฒนาเพื่อสร้างสิ่งที่ดีกว่า
มร. ไดสุเกะ ทัตสึตะ กล่าวเสริมว่า แม้ว่าะบบที่มีอยู่จะดีอยู่แล้วเราก็ยังไม่หยุดพัฒนา เพื่อช่วยยกระดับงานบริหารจัดการของการแพทย์ให้ดีกว่าที่เป้นอยู่ จึงได้เปิดตัวโซลูชั่นใหม่ที่มีชื่อว่า PJM (Phase Jitter Modulation) เพื่อต้อนรับการเปลี่ยนผ่านของแวดวงการแพทย์ไทยสู่ยุค 4.0
โดยมุ่งเน้นการดำเนินการที่ไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโลหิตเท่านั้น แต่ยังมองไปถึงการพัฒนาระบบการบริหารจัดการโลหิตของไทยให้ได้มาตรฐานระดับโลก ซึ่งโซลูชั่น PJM เป็นโซลูชั่นที่เราพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบและอ่านค่าบนฉลากของถุงบรรจุเลือดและหลอดสเต็มเซลล์อย่างครบวงจร
โดยนำ “เทคโนโลยีบ่งชี้ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Identification)“ หรือ RFID มาใช้ ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ ป้าย และ อุโมงค์เครื่องอ่าน พร้อมสื่อสารกับผู้ใช้งานผ่านจุดเชื่อมต่อ (Interface) แบบต่างๆ ตลอดกระบวนการทำงาน
โดยโซลูชั่นดังกล่าวจะช่วยให้การทำงานระหว่างฉลาก และเครื่องอ่าน สามารถรับส่งกันในรูปแบบของคลื่นความถี่ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถอ่านข้อมูลบนฉลากได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวัตถุจำนวนมากซึ่งถูกจัดเรียงไว้ในลักษณะเป็นแถวหรือชั้นต่อกัน
ช่วยลดปัญหาการปนเปื้อนจากการเปิดภาชนะเพื่อตรวจสอบในระหว่างจัดส่ง รวมถึงความความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากการอ่านข้อมูลโดยมนุษย์ ที่สำคัญคือระบบเครื่องอ่านอัตโนมัตินี้สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของระบบอ่านข้อมูลป้ายโดยทั่วไปตรงที่สามารถอ่านและประมวลข้อมูล
เช่น กรุ๊ปเลือด จำนวนของถุงเลือดที่ขนส่งมา หมายเลขของเลือด และวันหมดอายุ พร้อมทั้งแสดงผลได้อย่างแม่นยำ 100% แม้ในกรณีที่ถุงเลือดหรือหลอดสเต็มเซลล์ถูกวางซ้อนทับกันเป็นจำนวนมาก อีกหนึ่งประโยชน์สำคัญของโซลูชั่น PJM คือสามารถรักษาคุณภาพของเลือดให้คงที่ได้จนถึงจุดหมายปลายทางของการขนส่ง
กล่าวคือเมื่อเลือดหรือสเต็มเซลล์ถูกจัดส่งไปยังโรงพยาบาลที่หมาย เจ้าหน้าที่ผู้รับจะสามารถตรวจสอบถุงเลือดและสเต็มเซลล์ได้ง่ายๆ ในทันทีโดยการนำภาชนะหรือกระติกที่ใส่เลือดหรือสเต็มเซลล์มาไปผ่านอุโมงค์เพื่ออ่านข้อมูล โดยใม่ต้องเปิดภาชนะออกมาสัมผัสและตรวจสอบทีละชิ้น
ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองเวลา ก่อให้เกิดการเจือปนได้ง่าย และทำให้อุณหภูมิของเลือดไม่คงที่ ซึ่งอาจทำให้เลือดหรือสเต็มเซลล์นั้นๆ เสื่อมคุณภาพจนไม่สามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยได้ในที่สุด ซึ่งการนำเทคโนโลยี RFID มาใช้ในโซลูชั่นนี้ เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นกลุ่มเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้กับวัตถุที่ต้องอาศัยความรัดกุม
และแม่นยำในการตรวจสอบสถานะเป็นอย่างสูง โดยปัจจุบันโรงพยาบาลกว่า 100 แห่ง ในประเทศออสเตรเลียใช้โซลูชั่นดังกล่าวในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกและกล้ามเนื้อ และมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตข้างหน้า ประเทศไทย และประเทศใกล้เคียงก็มีโอกาสที่จะนำเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้ประโยชน์
ทางการบริหารจัดการคลังเลือดเช่นกัน โดยซาโต้วางแผนที่จะเปิดตัวเทคโนโลยี PJM รุ่นล่าสุดสำหรับด้านเวชศาสตร์บริการโลหิตพร้อมทั้งนำเสนอผลทดสอบการทำงานของเครื่อง ณ งานประชุมนานาชาติ International Society of Blood Transfusion (ISBT) ที่ประเทศแคนาดา ในเดือนมิถุนายนปีนี้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าการนำเอาระบบออโต้ไอดีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการโลหิตในปัจจุบันนั้นก่อให้เกิดประโยชน์แก่การบริหารจัดการโลหิตในสภากาชาดไทยอย่างมากมาย ทั้งในด้านความรวดเร็วและความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล
อีกทั้งยังช่วยให้สามารถควบคุมทั้งคุณภาพของเลือดในระหว่างการจัดแก็บ และแจกจ่ายให้แก่โรงพยาบาลทั่วประเทศได้ นับเป็นอีกเครื่องพิสูจน์ว่าไม่ว่าธุรกิจหรือองค์กรของคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ตาม
ระบบออโต้ไอดีจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินงานก้าวต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดรับกับความเจริญทางด้านเทคโนโลยีและนโยบายไทยแลนด์ 4.0 อย่างแน่นอน
ส่วนขยาย
* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ ไม่มีวัตถุมุ่งเพื่อโจมตี หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
** Compose : ชลัมพ์ ศุภวาที (Editors and Reporters)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตาม ข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยี ของเราได้ที่