สมาร์ทโฟน
คุณทราบหรือไม่ว่า สมาร์ทโฟน กำลังแย่งเวลาในชีวิตเราโดยที่เราไม่รู้ตั ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทอย่างสูงในชีวิตประจำวันของมนุษย์ สังเกตได้จากจำนวนสมาร์ทโฟนที่คนไทยกำลังใช้อยู่ในเวลานี้มีจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านเครื่อง และคนไทยมีการใช้ Facebook ถึง 47 ล้านบัญชี ซึ่ง 46 ล้านบัญชีถูกใช้งานจากสมาร์ตโฟน คิดเป็น 97.86%

จากข้อมูลวิจัยหลายสำนักพบว่าคนไทยใช้เวลากับสมาร์ตโฟนเฉลี่ย 6 ชั่วโมงต่อวัน และมีการใช้งาน Mobile App ยอดฮิต ได้แก่ Facebook, YouTube และ Line นานหลายชั่วโมงต่อวันเช่นกัน ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงสภาพ “สังคมก้มหน้า” ได้อย่างชัดเจน

เราจึงไม่ค่อยได้เห็นภาพครอบครัวมารวมตัวกันหน้าจอโทรทัศน์แบบในอดีต หากแต่สมาชิกในครอบครัวทุกท่านล้วนมีโลกส่วนตัวกับสมาร์ตโฟน และสามารถเลือกที่จะเสพสื่อหรือข้อมูลที่ตนเองสนใจ โดยต้องการอ่าน/ชม/ฟัง ตามสไตล์ของแต่ละคน ซึ่งหลายท่านใช้เวลาอยู่กับสมาร์ตโฟนมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่รู้ตัว

เบื้องหลังการที่เราใช้เวลาในชีวิตส่วนใหญ่กับสมาร์ตโฟนนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการที่มนุษย์ด้วยกันได้ออกแบบสมาร์ทโฟน และ Mobile Application ให้ดึงดูดผู้ใช้ให้คอยใช้เวลาในชีวิตอยู่กับ Mobile Application อยู่กับหน้าจอบนสมาร์ตโฟนให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งผู้ใช้ใช้เวลาอยู่กับ Mobile Application ได้นานเท่าไหร่ บริษัทที่ทำ Mobile App นั้นยิ่ง “Make Money” ได้มากขึ้นเท่านั้น

การประเมินมูลค่าบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ มูลค่าหลายบริษัทถูกประเมินจาก “เวลา” ที่ Mobile Application ของบริษัทนั้นสามารถดึงดูดผู้ใช้ให้อยู่กับหน้าจอของ Mobile Application นั้น ๆ ให้นานที่สุดเท่าที่จะมีได้ เพื่อที่จะใช้โฆษณาและส่งข้อมูลต่าง ๆ ที่ “เขา” อยากให้ “เรา” เห็น ไม่ใช่ข้อมูลที่ “เรา” ต้องการเห็น

ดังนั้นทุกวันเราจึงถูก “ยัดเยียด” ข้อมูลโฆษณาข่าวสารต่าง ๆ เข้าสมองของเราโดยผ่านทางประสาทตาที่คอยจับจ้องไปที่หน้าจอของสมาร์ตโฟนตลอดเวลา โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่าสมาร์ตโฟนกลายเป็นเครื่องมือในการนำเสนอข่าวสารที่ “เขา” อยากให้ “เรา” เสพโดยที่เราอาจถูกเปลี่ยนความคิด ความเชื่อจนไปถึงความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการไปอย่างสิ้นเชิง

สมาร์ทโฟน

ในมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง Stanford University มีวิชาและห้องทดลองเกี่ยวกับ “Persuasive Tech Lab” เพื่อให้นักพัฒนา Mobile App สามารถออกแบบอย่างไรให้คนเข้ามาใช้ Mobile App ของตนอยู่ตลอดเวลา

ทุกวันนี้เราจะเห็นสัญญาณบอลลูน “Red Alert Notification” อยู่เป็นประจำบนหน้าจอสมาร์ทโฟน เป็นการบ่งบอกว่าวันนี้มีคนมา “Like” Facebook Post ของเรากี่คน สังเกตได้จาก Instagram จะขึ้น Alert มาทีละครั้งต่อหนึ่ง Post เพื่อให้เราเข้าไปดูอย่างต่อเนื่องใน Post อื่น ๆ และ YouTube หรือ NetFlix

แม้กระทั่ง Facebook Video จะมี Feature “Auto Play” ให้เราดูวิดีโอบน YouTube ไปเรื่อย ๆ ทุกสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการจงใจ “ออกแบบ” (By Design) ให้เราติดกับสมาร์ตโฟนแบบงอมแงมโดยที่เราไม่รู้ตัว ผมเองก็เป็นเหยื่ออีกคนหนึ่งที่เหมือนกับทุกท่านทั่วไปที่สมองสั่งการให้เช็กหน้าจอสมาร์ตโฟนเป็นระยะ ๆ โดยจากสถิติคนเราเช็กหน้าจอสมาร์ตโฟนวันละ 150 ครั้งต่อวัน

การที่ผู้ออกแบบ Mobile App ของสมาร์ตโฟนต้องออกแบบให้ดึงเวลาในชีวิตของผู้คนให้มากที่สุด เกิดขึ้นเพราะการแข่งขันทางธุรกิจที่เรียกว่า การแย่ง “Attention Span” คำว่า “Attention Span” หมายถึง เวลาเฉลี่ยที่มนุษย์ในศตวรรษ 21 ใช้ในการให้ความสนใจเสพสื่อข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ

สถิติจากปี 2000 พบว่ามนุษย์ใช้เวลา Attention Span เฉลี่ยประมาณ 12 วินาที ส่วนเจ้าปลาทองมี Attention Span 9 วินาที (เป็นที่มาของคำว่า ความจำปลาทอง) ก่อนที่มันจะลืมและไปสนใจสิ่งอื่น

ผ่านไป 3 ปี พบว่า Attention Span ของคนเราลดเหลือเฉลี่ยประมาณ 8 วินาที น้อยกว่าความเจ้าจำปลาทองเสียอีก ซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตจะลดลงเหลือเพียง 5 วินาทีเท่านั้นหรือต่ำกว่า แสดงให้เห็นว่าสื่อทุกสำนักจึงจำเป็นต้องเอาตัวรอดโดยสร้างความสนใจให้กับ “Content”

สื่อทุกประเภทจะมีเวลาเพียงแค่ 5-8 วินาทีแรก จะสังเกตจากพาดหัวสื่อต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดียมักจะมีตัวอักษรสีแดงตัวใหญ่ ๆกำกับรูปภาพข่าวเสมอ และมีการใช้ภาษาที่แรงถูกใจวัยรุ่นเพื่อดึงดูดให้หลายคนเข้าไปอ่านพาดหัวข่าวและรีบแชร์ต่อ โดยที่ยังไม่ได้เข้าไปอ่านเนื้อหาของข่าวเลยด้วยซ้ำไป

ทางออกของปัญหา

ในโลกแห่งความเป็นจริงเราสามารถควบคุมตัวของเราเองได้ เมื่อเราได้ทราบข้อเท็จจริงเรื่องเวลากับการใช้งานสมาร์ตโฟนดังกล่าวเพื่อที่เราจะได้ไม่ตกอยู่ในความควบคุมจิตใจของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ในซิลิคอนวัลเลย์ ซึ่งผมคงไม่ต้องกล่าวถึงว่าเป็นบริษัทอะไร ท่านผู้อ่านก็คงจะพอเดาได้

เริ่มจากการจับเวลาวัดสถิติการใช้งานสมาร์ตโฟนของเราในชีวิตประจำวันแต่ละวัน ด้วยโปรแกรม Mobile App ที่อยู่ใน App Store และ Play Store ที่เราคุ้นเคย

โดยโปรแกรมเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้เราเห็นสภาวะที่เราอยู่กับสมาร์ตโฟน และ Mobile App ต่าง ๆ ในแต่ละวัน เพื่อที่เราจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้งานสมาร์ตโฟนเพื่อให้มีเวลาอยู่กับมนุษย์ด้วยกัน อยู่กับคนในครอบครัว อยู่กับคนที่เรารักและคนที่เขารักเรามากขึ้น

โปรแกรมจับเวลาวัดสถิติการใช้งานสมาร์ตโฟนของเราในชีวิตประจำวันแต่ละวันดังกล่าว ยกตัวอย่าง เช่น “QualityTime” บน Android และ “Moment” บน iOS ซึ่ง Mobile App ดังกล่าวจะตรวจสอบการใช้งานสมาร์ตโฟนของเรา ว่าเราใช้เวลาไปกี่ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้เราสามารถบริหารเวลาและลดเวลาในการใช้งานสมาร์ตโฟนในแต่ละวันลง

วิธีการอื่น ๆ ในการบริหารเวลาที่ดี เช่น การปิด Notification การไม่ใช้มือถือแทนนาฬิกาปลุก การปิดเครื่องในขณะนอนหลับ หรือปลีกวิเวกจากมือถือบ้างในบางเวลา ตลอดจนการฝึกนิสัยที่ไม่มีมือถือเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เป็นต้น

กล่าวโดยสรุปเราจะสังเกตได้ว่า “Content” ที่มาจาก News Feed จากโปรแกรมโซเซียลต่าง ๆ ในแต่ละวันได้ถูกนำเสนออย่างมีนัยยะและตั้งใจให้เรา “เห็น” โดยมีผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจแอบแฝง เราจึงควร “รู้เท่าทัน” และเล่นบทเป็น “ผู้กำหนด” ว่าเรา “อยากจะเห็น” หรือ “ไม่อยากเห็น” ด้วยตัวของเราเอง ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเรียกร้อง “อธิปไตยไซเบอร์” ของเรากลับมาเสียที….