ดีแทค และ ทีโอที เดินหน้าสานต่อความร่วมมือ หลังจากเซ็นสัญญา เริ่มลุยติดตั้งอุปกรณ์สำหรับคลื่น “dtac-T” (2300 MHz) ประเดิม 10 แห่ง เพื่อทดสอบสัญญาณในใจกลางกรุงเทพฯ ก่อนรุกขยายเพิ่มตามพื้นที่ที่มีปริมาณการใช้งาน เดต้า หนาแน่น ตั้งเป้าพร้อมเปิดให้บริการภายในไตรมาส 2 และติดตั้งครบ 37 จังหวัดในปี 61 นี้
dtac-T “The Limitless Era”
ดีแทค และทีโอที ได้เปิดทดสอบ dtac-T คลื่น 2300MHz จำนวน 10 แห่ง ใจกลางกรุงเทพ เน้นจุดพื้นที่ใช้งานหนาแน่น อาทิ สุขุมวิท สาทร-นราธิวาสราชนครินทร์ สีลม ราชประสงค์ พระราม 3 เป็นต้น ในการเปิด 10 เสาแรกในไทย เพื่อเปิดทดสอบสัญญาณเตรียมความพร้อม ก่อนที่จะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์แก่ลูกค้าทั่วไปเร็วๆ นี้
โดย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในการเปิดทดสอบการใช้งานเป็นครั้งแรกในไทย พร้อม ดร.พิเชษฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เกียรติร่วมในฐานะกำกับดูแลหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึงทีโอที และมีบทบาทในการขับเคลื่อนตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม
ดร.มนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที กล่าวว่า สัญญาทางธุรกิจและความร่วมมือระหว่างทีโอทีและดีแทคในการใช้งานคลื่นความถี่ 2300MHz บนแบนด์วิดท์ที่กว้างที่สุดถึง 60MHz (2310 – 2370 MHz) เพื่อให้บริการการสื่อสารความเร็วสูงมิติใหม่ของประเทศ
เป็นการปักหมุดความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่นำเทคโนโลยีล่าสุดของโลก 4G LTE-TDD มาให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั้งบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ตไร้สายประจำที่ (Fixed Wireless broadband) เพื่อขยายบริการให้ครอบคลุมชุมชน
หรือครัวเรือนต่างๆ ในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำของคนไทยในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ที่สำคัญความร่วม มือครั้งประวัติศาสตร์นี้จะเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศไทยให้ก้าวทันกับนานาประเทศตามนโยบาย
รัฐบาลที่จะนำพาประเทศก้าวสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ให้เข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
โดยบริการคลื่น 2300MHz นับเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จในอนาคตของระบบโทรคมนาคม และระบบดิจิทัลในประเทศไทย การเปิดให้บริการคลื่น 2300MHz นอกจากจะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในการพัฒนาประเทศแล้ว จะเป็นการเสริมศักยภาพบริการของ ทีโอที ทั้งบริการโมบายบนคลื่น 2100 MHz
และบริการบรอดแบนด์ของ ทีโอที ซึ่งจะรองรับความต้องการใช้งานของภาครัฐ ของธุรกิจเอกชน ธุรกิจ SME และประชาชนได้มากขึ้น โดย ทีโอที พร้อมเปิดให้บริการได้ภายในไตรมาสที่ 2
ซึ่งคาดว่าจะทำให้ตลาดโมบาย และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของ ทีโอที เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีจุดแข็งที่ได้เปรียบทั้งในเรื่องของแบนด์วิดท์และความครอบคลุมของพื้นที่ให้บริการ โดยจะสามารถสร้างยอดลูกค้าเพิ่ม Market Share ให้กับทีโอที
ด้าน ลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ดีแทคได้วางแผนการให้บริการคลื่น 2300 MHz ด้วยงบลงทุน (CAPEX) ปี พ.ศ. 2561 ประมาณ 15,000 – 18,000 ล้านบาท สำหรับการขยายสถานีฐาน และเสาสัญญาณ
โดยเมื่อหักกลบค่าใช้บริการระหว่างกันดีแทคสามารถให้ค่าตอบแทนแก่ทีโอทีเป็นจำนวน 4,510 ล้านบาทต่อปีจนถึง ปี พ.ศ. 2568 ทั้งนี้ ดีแทควางแผนที่จะขยายบริการบนคลื่น 2300MHz ไม่ต่ำกว่า 37 จังหวัดในปีนี้ โดยพื้นที่แรกที่จะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์จะเน้นไปที่บริเวณที่มีการใช้งานดาต้าสูง
และพร้อมเปิดให้บริการภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ ด้านโครงการขยายเพิ่มทางดีแทคตั้งใจที่ขยายอุปกรณ์ที่สามารถให้บริการคลื่น 2300MHz นี้ ได้ครอบคลุม 71 จังหวัด ภายในปี 2562
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ การใช้งานข้อมูล (Data) ในประเทศไทย ที่มีอัตราเฉลี่ยมากกว่า 8 GB ต่อผู้ใช้งานต่อเดือน และการที่โครงข่ายการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้กลายเป็นส่วนที่สำคัญมากของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สนับสนุนระบบเศรษฐกิจของชาติ
ดีแทคเลือกเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อการสื่อสารมาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยคลื่นความถี่ 2300MHz และเทคโนโลยี Time Division Duplex (TDD) จะถูกนำมาใช้งาน โดย TDD สามารถจัดการแบนด์วิดท์สำหรับการอัพลิงค์ และดาวน์ลิงค์บนแบนด์วิดท์เดียวได้พร้อมกันตลอดเวลา
ความร่วมมือกันระหว่างดีแทคและทีโอทีครั้งนี้มีความสำคัญที่นำคลื่นความถี่กว้าง 60 MHz ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมาใช้งานเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น
TDD และ Massive MIMO คือเทคโนโลยีที่ปฏิวัติเพิ่มการรับและส่งดาต้าในแต่ละเสาสัญญาณได้มากกว่าเดิม นับเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ก้าวสู่ “5G-ready” โดยคลื่นใหม่ที่จะนำมาให้บริการจะมีความจุที่มากที่สุด และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาคนี้
ปัจจุบันสมาร์ทโฟน ที่มีอยู่ในตลาด ที่มีจำนวนมากกว่า 70% ที่รองรับ 4G ในขณะนี้ จะสามารถใช้งานบนคลื่นความถี่ 2300MHz TDD ได้ อีกทั้ง ไม่เพียงแต่ผู้ใช้งานบนคลื่น 2300MHz จะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น แต่ผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนบนคลื่น 2100MHz ยังจะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอีกด้วย
จากที่มีการเพิ่มคลื่นความถี่หรือ Off Load จากผู้ใช้งานบนระบบ TDD ทั้งนี้ ทำให้ลูกค้าดีแทคทุกคนจะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นในการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ไม่ใช่เฉพาะสำหรับทีโอทีและดีแทค แต่ยังสำคัญกับประเทศไทย 4.0 อีกด้วย
และจะช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ประเทศไทยต้องการในการก้าวเป็นผู้นำด้านดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังทำให้การบริการดิจิทัลของทีโอทีมีการเติบโตอย่างมั่นใจในระยะยาว นอกจากนั้น ยังเพิ่มความแข็งแกร่งของโครงข่ายดีแทคในการให้บริการในประเทศ
และช่วยให้คนไทยยกระดับการใช้งานดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากที่สุด ทั้งนี้ 10 เสาแรกในไทยที่ทีโอที และดีแทคร่วมเปิดทดสอบการใช้บริการในพื้นที่ใจกลางเมืองสำคัญของกทม ได้แก่ สาทร, พระราม 3, สีลม, ราชประสงค์, สุขุมวิท, เซ็นหลุยส์, นางลิ้นจี้, เย็นอากาศ, สวนพลู และเจริญกรุง ก่อนที่จะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์แก่ลูกค้าทั่วไปเร็วๆ นี้
ยังสนใจเข้าประมูลคลื่น 1800MHz
ด้าน ประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทคโนโลยี บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า การที่ดีแทคได้สัญญาเช่าใช้คลื่นจาก ทีโอที ในครั้งนี้ จะช่วยให้เรากลับมาสู่ในสถานการณ์แข่งขันที่ดีขึ้น
ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้เป็นข้อยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ดีแทค ยังคง ให้ความสำคัญต่อการให้บริการในประเทศไทย และที่ผ่านมา ดีแทคเองก็ได้พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะให้บริการที่ดีที่สุด แม้จะมีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการขยายจุดกระจายสัญญาณเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
สำหรับข้อสงสัยว่าการลงทุนในคลื่น 2300MHz นี้ ดีแทคจะลงทุน เต็มแบรนด์วิธ 60MHz หรือไม่ เรายืนยันว่าจะลงทุนอย่างเต็มที่ และครบคลุมทั้ง 3 AC (2G, 3G, 4G) อย่างแน่นอน ไม่ใช่เพียงช่องสัญญาณใดสัญญาณหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดีในส่วนของประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากคลื่นนั้น ต้องขึ้นอยู่ตัว สมาร์ทโฟน ของลูกค้า
ซึ่งปัจจุบันจำนวนของเครื่องที่รองรับคลื่น 2300MHz นี้ ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ผลิตแบรนด์ต่างๆ อาทิ Sony, Samsung, iPhone และHuawei ได้ทยอยนำเคร่ืองมาจำหน่ายเพิ่มขึ้นในตลาดประเทศอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ในส่วนของการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800MHz ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ นั้น เรายังให้ความสนใจอยู่ ซึ่งทาง ดีแทค ได้เดินทางไปรับรับเอกสารการประมูลคลื่นความถี่ จากทาง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างศึกษารายละเอียด และประเมินสถานการณ์
แต่อย่างที่ทราบ หากทาง กสทช ยังใช้ มติบอร์ด ที่จะกลับไปใช้แนวทางประมูลเดิมสำหรับการประมูลคลื่นความถี่ 1800MHz เราเชื่อว่าจะไม่ส่งผลดีอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม ไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินนโยบายสร้าง ประเทศไทย 4.0
ส่วนขยาย
* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ ไม่มีวัตถุมุ่งเพื่อโจมตี หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
** Compose : ชลัมพ์ ศุภวาที (Editors and Reporters)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตาม ข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยี ของเราได้ที่