Schneider Electric

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ชี้ ปี 2019 คือปีทอง ของ Edge Data Center, AI และความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว…

Schneider Electric ชี้ 2019 ปีทอง ของ Edge Data Center, AI and Balance Personal life

โรมาริก เอินส์ท รองประธานธุรกิจไอทีสำหรับองค์กร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2019 เป็นปีที่ธุรกิจไอทีเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะมีอยู่ 3 เทรนด์หลักที่มีแนวโน้มในการเกิดขึ้นทั่วโลก โดย เอดจ์ คอมพิวติ้งจะเข้ามาช่วยดำเนินธุรกิจในทุกวัน

ในตอนนี้เรากำลังมาถึงจุดที่เอดจ์ คอมพิวติ้ง เข้าสู่ช่วงของการสร้างผลิตผลและกลายเป็น “จริง” ทั้งนี้ ผู้ใช้ในองค์กรและผู้บริโภคจะเริ่มสัมผัส เอดจ์ ดาต้า เซ็นเตอร์ ได้จากบริการที่นำเสนอในรูปแบบต่างๆ ซึ่ง Global Market Insights คาดการณ์ว่า ตลาดเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ จะทะลุ 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

และภายในปี 2024  โดยมีการลงทุนระบบโครงสร้าง เอดจ์ ดาต้า เซ็นเตอร์ แล้วในเกือบทุกภาคส่วน เช่น ธุรกิจค้าปลีก การเงิน ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม ฯลฯ ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ต้องอาศัยการประมวลผลมากขึ้น รวมถึงการเชื่อมต่อเครือข่าย และการจัดเก็บข้อมูลในจุดที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้ปลายทาง

Edge Data Center ช่วยแก้ปัญหาความล่าช้าในการประมวลผล

Schneider Electric
Man and woman standing in computer server room

ปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดความต้องการเอดจ์ คอมพิวติ้ง คือผู้บริโภคไม่อดทนกับเรื่องความล่าช้า หรือ latency  ดังนั้นการเข้าถึงข้อมูลและความสามารถในการวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญ การตัดสินใจสำคัญหลายอย่างในธุรกิจและการตัดสินใจของผู้บริโภคล้วนขึ้นอยู่กับความคล่องตั

ในการเรียกใช้ข้อมูลได้ทันใจในแบบเรียลไทม์ ถ้าเรามองที่เศรษฐกิจอี-คอมเมิร์ซ หากโมบายเว็บไซต์ไม่สามารถโหลดเสร็จภายใน วินาที ก็จะทำให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมไม่สนใจไซต์นั้นไปเลย และหากการทำธุรกรรมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเสี้ยววินาที เงินก็จะไม่มีการเปลี่ยนมือ และผู้ขายเองก็เสี่ยงที่จะเสียลูกค้าให้กับคู่แข่งได้ 

ความต้องการด้านการบริการต่างๆ ที่ต้องอาศัยเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว  เช่นโมบาย มันนี่ แอปฯ ที่ให้ประสิทธิภาพการใช้งานได้ ณ สถานที่นั้นๆ ลูกค้าก็ได้รับประสบการณ์โดยรวมที่ดีขึ้น หรือการทำวิดีโอสตรีมมิ่ง การใช้ประโยชน์ของ smart mirror AR ที่เลือกเปลี่ยนแบบชุดได้จากหน้าจอ

ยานยนต์แบบไร้คนขับ เทคโนโลยีเหล่านี้ ล้วนต้องอาศัยเอดจ์ คอมพิวติ้ง ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแน่นอนว่าการป้องกันอุบัติเหตุและความปลอดภัยถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับยานยนต์ไร้คนขับ  ดังนั้นการส่งข้อมูลสำคัญแบบเรียลไทม์จากรถยนต์ไปยังเอดจ์ ไปยังดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาค ไปที่คลาวด์

และส่งกลับมาอีกครั้งที่รถยนต์เพื่อตอบสนองต่อคำสั่งการ จะช่วยผลักดันให้เกิดความต้องการใช้ระบบโครงสร้างเอดจ์อย่างมหาศาลซึ่งสามารถแคช(cache) ข้อมูลขนาดใหญ่พักไว้ในระบบ พร้อมทั้งนำมาประมวลผลและวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว

AI is Everywhere

Schneider Electric

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นที่พูดถึงกันเป็นอันดับต้นๆ ในวงการเทคโนโลยีมาตั้งแต่ปี 2018 และการสนทนาเรื่องนี้ยังคงขยายวงกว้างออกไปในปี 2019  นั่นเป็นเพราะว่าในแวดวงธุรกิจหรือกระทั่งที่บ้านก็ตาม ทั้งเวิร์กโหลดและแอปฯ ที่ต้องใช้ข้อมูลอย่างจริงจัง

ซึ่งให้ศักยภาพการทำงานผ่านเครือข่ายเอดจ์ใหม่ ล้วนต้องอาศัย AI เช่นกัน โดย AI จะถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์และแปลข้อมูลจากแอปฯ ต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้คน (และในบางกรณียังรวมถึงจักรกลอื่นๆ) สามารถตัดสินใจและตอบรับกับสถานการณ์ได้แบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ ปี 2019 ยังเป็นปีแห่งการเฟ้นหาผู้มีความสามารถพิเศษเพื่อสร้างแอปพลิเคชันใหม่ๆ เพื่อมาตอบโจทย์ความต้องการใช้งานจริง ซึ่งจะต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา

ซึ่ง AI จะช่วยเรื่องการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย ประสิทธิภาพการทำงานและระยะเวลาในการตอบสนองการใช้งาน หรือ response times ซึ่งจะแยกจากงานหนักในส่วนโมเดลการฝึกฝนของ AI ที่เป็นสเกลใหญ่

ซึ่งต้องทำผ่านดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีศูนย์กลางอยู่บนคลาวด์ โดยสำหรับเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่มีการมอนิเตอร์อยู่ตลอด จะเกาะติดกิจกรรมที่มีความผิดปกติ โดยอาศัยการเรียนรู้ของ AI ว่าระบบไหนมีพฤติกรรมการทำงานอย่างไร โดยในทางกลับกันก็จะช่วยขับเคลื่อนในเรื่องของการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์

และการบำรุงรักษาระบบงานในเชิงรุกตามเงื่อนไขการทำงาน  การเรียนรู้ในระดับของจักรกลจะช่วยให้บริหารจัดการได้อย่างเรียบง่าย ช่วยลดเวลา และลดการใช้ทรัพยากรสำหรับกิจกรรมที่เพิ่มคุณค่าทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว

สร้างสมดุลให้กับงาน และการใช้ชีวิต

Schneider Electric
VR Virtual Reality

AI และ เอดจ์ คอมพิวติ้ง จะเอื้อประโยชน์อย่างมหาศาลนับตั้งแต่สำหรับปี 2019 เป็นต้นไป โดยจะมอบการวิเคราะห์ได้มากขึ้นและมอบความสามารถในการ “มองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น” ศักยภาพเหล่านี้จะช่วยจัดสมดุลให้กับชีวิตเราได้ทั้งเรื่องความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น

แต่การสร้างสมดุลที่ถูกต้อง ต้องอาศัยทัศนคติที่ให้ความสำคัญเรื่องของคนมาเป็นอันดับแรก ปัญหาใหญ่ทางสังคม เช่น สมดุลในการใช้ชีวิตกับการทำงาน ไม่เคยแก้ได้ง่ายๆ  แม้ว่าเทคโนโลยี ITจะให้ประโยชน์ก็ตาม แต่ หลักสถิติ ก็ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่นำไปสู่ความเครียดมากขึ้น

มีเวลาอยู่กับครอบครัวน้อยลง และส่งผลกระทบในทางลบทั้งเรื่องงานและสัมพันธภาพอันเป็นสาเหตุมาจากการที่ต้องเกาะติดกับการสื่อสารตลอดเวลา ในโลกที่ซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน...ปี 2019 เป็นปีที่เราต้องพิจารณาลำดับขั้นความสำคัญของสิ่งต่างๆ ที่ช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดีทั้งเรื่องของประสิทธิภาพและศักยภาพได้อย่างทัดเทียม 

ตัวอย่างของบริษัทที่ประสบความสำเร็จ มีการจำกัดการใช้อีเมลนอกสถานที่ทำงาน ให้ความสำคัญกับวันของครอบครัว สอนเรื่องของสติและการดูแลสุขภาพที่ดี ซึ่งเรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากขึ้น  เพราะเครื่องมือในการบริหารจัดการซอฟต์แวร์

กำลังช่วยให้มืออาชีพด้านไอที สร้างสมดุลของการใช้ชีวิตและการทำงานได้ดีขึ้น โดยช่วยให้จัดลำดับความสำคัญของข้อมูลที่จำเป็นต่อธุรกิจได้ โดยในปี 2019 ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะนำเทคโนโลยีด้านเอดจ์ คอมพิวติ้ง จัดแสดงในอีเว้นท์ใหญ่ ในประเทศไทย ตลอดทั้งปี เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจด้านเทคโนโลยีดังกล่าวมากขึ้

เพื่อประโยชน์ในการแข่งขันของภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม ซึ่งในวันที่ 6 มีนาคมนี้ จะมีร่วมกับ CISCO เพื่อเผยศักยภาพของเอดจ์ในการต่อยอดธุรกิจ ในงาน Cisco Connect 2019 ณ เซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ และงาน IEEE PES GTD ASIA 

ซึ่งเป็นงานใหญ่ระดับโลก ด้านพลังงานทดแทน ระบบการผลิต ระบบจัดจำหน่าย ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 21 ถึง 23 มีนาคม ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมแห่งชาติไบเทคบางนา บูธ U9 และงานอื่นๆ อีกหลายงานตลอดปี 2019 นี้ 

ส่วนขยาย

* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ ไม่มีวัตถุมุ่งเพื่อโจมตี หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง 
** Compose : ชลัมพ์ ศุภวาที (Editors and Reporters)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com

สามารถกดติดตาม ข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยี ของเราได้ที่