Eleader February 2015
กระแสความแรงของ Internet of Things ในเวทีแสดงสินค้าคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ประจำปีใหญ่ที่สุดในโลก CES 2015 เปรียบได้กับการส่งสัญญาณถึงนักการตลาดยุคใหม่ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเกาะติดพฤติกรรมผู้บริโภคที่สามารถเชื่อมต่อโลกอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ผ่านอุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยไม่ผูกติดอยู่กับแก็ดเจ็ตกระแสหลักเดิมๆ อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ สมาร์ททีวี หรือกล้องดิจิทัล ซึ่งทาง Rohit Bhargava ผู้ก่อตั้ง Influential Marketing Group ย้ำชัดว่า นี่คือโอกาสมหาศาลสำหรับนักการตลาด
พร้อมกันนี้ เขาได้อ้างอิงถึงเนื้อหาตอนหนึ่งในหนังสือที่เพิ่งเปิดตัว “Digital Destiny” เขียนโดยหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Consumer Electronics Association ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่า ความแพร่หลายของจำนวนอุปกรณ์ใหม่ๆ ที่จะออกมารองรับกระแส Internet of Things นั้น เสมือนเป็นการกรุยทางให้เกิดปรากฎการณ์ “Internet of Me” เพราะการพูดคุยของของอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ นั้น ในทางหนึ่งก็คือ การจัดเก็บข้อมูลการใช้งานของผู้บริโภค เพื่อบอกถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือการกระทำต่างๆ ในโลกชีวิตจริงนั่นเอง รวมทั้งยังเป็นการสร้างข้อมูลผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ด้วย
ดังนั้น ตัวผู้บริโภคสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ มาเป็นปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ผสมผสานทั้งเชิงกายภาพและดิจิทัลในรูปแบบของตัวเอง ซึ่งหากนักการตลาดรายใดตีโจทย์นี้แตก รู้เท่าทันความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม แต่ละคน และนำมาสร้างแคมเปญการตลาดเฉพาะกลุ่ม สร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า ก็เท่ากับคว้าโอกาสการตลาดก้อนใหญ่ไว้ในมือ
“ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งของ Internet of things และการเติบโตของเทคโนโลยีสวมใส่ได้ ก็คือ ผู้บริโภค จะมีความสามารถในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมตัวเอง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสามารถเข้าไปดึงข้อมูลเหล่านั้นจากระบบจัดเก็บบนแพลตฟอร์ม รวมทั้งเลือกได้ว่าจะแชร์ข้อมูลเหล่านั้นด้วยวิธีการไหน ที่จะเกิดประโยชน์กับพวกเขา”
ดังนั้น โอกาสของนักการตลาดก็คือ การทำให้ผู้บริโภคเต็มใจแชร์ข้อมูลเหล่านั้นมาให้ เพื่อนำมาใช้ปรับปรุงการสร้างประสบการณ์เฉพาะตนที่ดียิ่งขึ้น เช่น ผู้ขายอุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกีฬา สามารถนำข้อมูลการออกกำลังกายของลูกค้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้ารายนั้นๆ เป็นต้น
3 เทคโนโลยีที่นักการตลาดต้องจับตาปีนี้
ล่าสุด เว็บไซต์ ThinkWithGoogle ก็ได้เผยแพร่ข้อมูลระบุถึง 3 เทรนด์หลักที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีในปี 2015 พร้อมทั้งย้ำว่าเป็นเทคโนโลยีที่นักการตลาดควรจับตามองให้ดี ประกอบด้วย 1.แพลตฟอร์มเกิดใหม่ที่จะเข้ามาเชื่อมต่อชีวิตประจำวัน (Connected Life Platforms are Emerging) ถือเป็นผลโดยตรงจากกระแส Internet of Things ซึ่งทำให้อุปกรณ์ต่างๆ มีความสามารถสื่อสารกันเองได้
แนวโน้มนี้เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง จากพฤติกรรมการสืบค้นข้อมูลผ่านกูเกิล โดยพบว่า ปีที่ผ่านมาคำที่เกี่ยวข้องกับ Internet of Things ถูกค้นหาเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า เทียบกับปี 2013 ขณะที่ คำเกี่ยวข้องอื่นๆ ก็มียอดค้นหาเพิ่มขึ้นเช่นกัน ได้แก่ Wearable Tech เพิ่มขึ้น 3 เท่า, Smart TV เพิ่มขึ้น 28% , ยอดเข้าชมคลิปรถยนต์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 1.6 ล้านชั่วโมงบนยูทูบ เป็นต้น
2.โทรศัพท์มือถือ เครื่องมือสู่ยุคอินเทอร์เน็ตคือตัวฉัน (Mobile Shapes the “Internet of Me”) เนื่องจากสมาร์ทโฟนชาญฉลาดขึ้น เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อข้อมูลจากหลากหลายแพลตฟอร์ม สร้างประสบการณ์ที่ personalized และดียิ่งขึ้น ถือเป็นการขับเคลื่อน Internet of Things มาสู่การเป็น Internet of Me ที่ช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบาย
ข้อมูลจากไอดีซี ระบุว่าในปี 2014 สมาร์ทโฟนทำยอดขายทั่วโลกได้ถึง 1.3 พันล้านเครื่อง แต่ละวันคนใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมือถือมากขึ้น โดยในอเมริกา มีข้อมูลว่า ชาวอเมริกันใช้เวลา 151 นาที บนหน้าจอสมาร์ทโฟนในแต่ละวัน มากกว่าทีวีและแล็ปท็อป คนเริ่มใส่ใจสิ่งรอบตัว และการดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น โดยมีมือถือเป็นช่องทางสืบค้นข้อมูลและบริการต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต รวมทั้งเริ่มมองถึงการใช้มือถือ เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับอุปกรณ์หรือวัตถุอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย โดยข้อนี้เห็นได้จาก ยอดค้นหาคำที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี NFC บนกูเกิล ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.5 เท่าตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
และ 3.ชีวิตติดสปีด (The Speed of Life Gets Even Faster) ด้วยความสะดวกสบายในการเข้าถึงทุกสิ่งที่ต้องการผ่านอินเทอร์เน็ตในอุ้งมือ ทำให้ผู้บริโภคยุคนี้มีพฤติกรรมต้องการอะไรที่รวดเร็ว ทันใจ และเคยชินกับการตัดสินใจในฉับพลันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลจากกูเกิล พบว่า คำค้นหา “จัดส่งในวันเดียว” สำหรับการช้อปสินค้า มีอัตราสูงขึ้น 2 เท่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014 เทียบกับปี 2010
ขณะเดียวกัน ก็มีแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ออกมาเอาใจวิถีชีวิตติดสปีดในยุคดิจิทัลมากมาย หลายแอพฯ มีความชาญฉลาดในการ “รู้ใจ” หรือแจ้งเตือนข้อมูลที่สนใจ ก่อนที่ผู้ใช้จะร้องขอ ยกตัวอย่างเข่น Take Me Home ของกูเกิล ซึ่งมียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 30 เท่า เพราะตอบโจทย์การอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ทั้งยังแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อพบการจราจรติดขัดในเส้นทางที่กำหนดไว้ หรือบริเวณใกล้เคียง