เมื่อโลกของสุขภาพไม่ใช่แค่เพียงของการเดินทางไปรักษา แต่คือการใช้ประโยชน์จากข้อมูล และสร้างความคล่องตัวทำให้บริษัทด้านสาธารณสุขจำเป็นต้องใช้ Hybrid Cloud

  • บริษัทด้านสาธารณสุข และโรงพยาบาล ใช้จ่ายกับระบบพับลิคคลาวด์มากเกินความจำเป็น ซึ่งดูเหมือนว่าแรงจูงใจอีกประการหนึ่งในการใช้งานไฮบริดคลาวด์ขององค์กรต่างๆ คือการที่องค์กรเหล่านั้นจำเป็นต้องควบคุมค่าใช้จ่ายด้านไอที องค์กรที่ใช้พับลิคคลาวด์ใช้จ่ายเงินคิดเป็น 26% ของงบประมาณด้านไอทีประจำปีไปกับระบบพับลิคคลาวด์ และจะเพิ่มเป็น 35% ภายในเวลา 2 ปี ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายกับระบบพับลิคคลาวด์ บริษัทด้านเฮลท์แคร์ใช้งบประมาณเกินกว่าที่ตั้งไว้ 40% ในขณะที่บริษัทระดับโลกที่อยู่ต่างอุตสาหกรรมใช้งบประมาณเกินกว่าที่ตั้งไว้ 35%
  • การใช้พับลิคคลาวด์ขององค์กรด้านสาธารณสุข และโรงพยาบาล แซงหน้าการใช้ IoT ในอุตสาหกรรมอื่น อุตสาหกรรมด้านสาธารณสุข และโรงพยาบาลนิยมใช้งานพับลิคคลาวด์ในระดับใกล้เคียงกับภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ส่วนใหญ่ รายงานระบุว่ามีการใช้งาน 13% เมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยทั่วโลกที่ 12% อย่างไรก็ตามบริษัทด้านสาธารณสุขและโรงพยาบาลก็แซงหน้าค่าเฉลี่ยของแอปพลิเคชั่นบางอย่าง เช่น ERP/CRM การวิเคราะห์ข้อมูล คอนเทนเนอร์ และอินเทอร์เนตออฟธิงค์ (IoT)
  • วงการสาธารณสุข และโรงพยาบาล ขาดแคลนทักษะไอทีด้านไฮบริด ผู้ตอบแบบสอบถาม 88% คาดหวังผลลัพธ์เชิงบวกจากไฮบริดคลาวด์ ในขณะที่ทักษะด้านนี้ยังขาดแคลนในองค์กรในปัจจุบัน ทั้งนี้ทักษะด้านไฮบริดจัดเป็นทักษะที่ขาดแคลนเป็นลำดับที่สองรองจากทักษะด้าน AI และ Machine Learning

วงการสาธารณสุขหวังใช้ Hybrid Cloud สร้างความยืดหยุ่น

Hybrid Cloud

ข้อมูลสถิติของธนาคารโลกระบุว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว การที่ประชากรวัยทำงานลดลงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ในปี พ.ศ. 2559 จำนวน 11% ของประชากรทั้งหมดของไทย (ประมาณ 7.5 ล้านคน) มีอายุ 65 ขึ้นไป

เมื่อเปรียบเทียบกับ 5% ในปี 2538 และคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2583 จะเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 17 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด โดยจากการเปิดเผยของ ทีดีอาร์ไอ ระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยในอีก 15 ปีข้างหน้า (ประเมินตามหลัก OECD) จะคิดเป็นเงินประมาณ 4.8 ถึง 6.3 แสนล้านบาท

โดยเป็นผลสืบเนื่องจากการที่สังคมเริ่มก้าวสู่สังคมสูงวัยมากขึึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีโอกาสเพิ่มขึ้นไปถึง 1.4 ถึง 1.8 ล้านล้านบาท เลยทีเดียว ซึ่งส่วนหนึ่งของการเติบโตของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากนโยบายที่รัฐบาลตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการให้บริการทางการแพทย์

และการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพระดับโลกภายในกรอบเวลา 10 ปี ทำให้องค์กรด้านสาธารณสุขและโรงพยาบาลในประเทศไทยตระหนักถึงการนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพบริการต่างๆ ของตน

เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในระบบ เพิ่มการเข้าถึงสาธารณชน และเพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้รับบริการเพื่อผลักดันประสิทธิภาพในการให้การรักษาพยาบาลให้มีความครอบคลุม คล่องตัวมากขึ้น และตอบสนองต่อนโยบายของประเทศด้วยเช่นกัน

เพียง 2 ปี ไฮบริด คลาวด์ ในบริษัทด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้น 18%

Hybrid Cloud

ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ นูทานิคซ์ กล่าวว่า ประชากรสูงอายุที่มีมากขึ้น โรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงความท้าทายทางเทคนิค และสังคมอื่นๆ ล้วนสร้างแรงกดดันให้โรงพยาบาล และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพมากขึ้นเช่นกัน

ไม่มีวิธีที่จะแก้ความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างทันทีทันใด แต่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ทันสมัยและรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมถึงการใช้ประโยชน์จากระบบคลาวด์ เป็นขั้นตอนแรกที่เริ่มทำได้ทันที เพื่อคงคุณภาพการดูแลรักษาในปัจจุบัน

และช่วยให้สามารถให้บริการด้านการดูแลสุขภาพอย่างเฉพาะเจาะจงไปยังแต่ละบุคคลได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจากผลสำรวจการวางแผนใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์ขององค์กรด้านสาธารณสุข และโรงพยาบาล ทั้งที่เป็นไพรเวท ไฮบริด และพับลิคคลาวด์ หรือ Enterprise Cloud Index ที่นูทานิคซ์ ได้ทำการสำรวจ

พบว่าวงการสาธารณสุข และโรงพยาบาล กำลังใช้งานไฮบริดคลาวด์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตมากเป็นอันดับ 3 จากทุกอุตสาหกรรม โดยเพียงระยะเวลา 2 ปี วงการสาธารณสุข และโรงพยาบาล ได้เพิ่มการใช้งานไฮบริดคลาวด์ของผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขและโรงพยาบาลจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 19% เป็น 37%

Hybrid Cloud

ซึ่งเพิ่มขึ้น 18% โดยมีความต้องการหลักคือการสร้างความยืดหยุ่น และสามารถเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชั่นระหว่างไพรเวทและพับลิคคลาวด์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม เพื่อจัดการกับความกังวลด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ผู้ตอบแบบสำรวจเกินครึ่งจากวงการสาธารณสุข และโรงพยาบาล

ระบุว่าการใช้งาน อินเตอร์ คลาวด์ แอปพลิเคชั่น โมบิลิตี้ นั้นเป็นสิ่งจำเป็น ที่จะทำให้การเคลื่อนย้ายการทำงานของแอปพลิเคชั่นต่างๆ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง บริการด้านเน็ตเวิร์คต่างๆ และนโยบายด้านความปลอดภัย ระหว่างไพรเวทคลาวด์ และพับลิคคลาวด์เป็นไปอย่างราบรื่น

ส่วนขยาย

* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อการวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการและผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่