ODI

ODI ประเด็นร้อนที่ บริษัทฯ ต่างๆ เริ่มเร่งเครื่องปรับตัว เพื่อหวังปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า ด้วยข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ที่นำเสนอจากระบบคลาวด์…

highlight

  • อะโดบี ไมโครซอฟต์ และเอสเอพี ยันพร้อมปรับแนวทางการใช้ข้อมูลรับ “Open Data Initiative” หวังช่วยเอกชนสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกอย่างไร้รอยต่อ และช่วยให้แบรนด์ต่าง ๆ ตรวจสอบการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
  • Unilever ประเด็มรายแรก ๆ ที่ ใช้โซลูชั่นจากทั้ง 3 บริษัทฯ และแนวทาง Open Data Initiative เพื่อผสานรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า ผลิตภัณฑ์ และทรัพยากรต่าง ๆ และใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อลดบรรจุภัณฑ์พลาสติก

Adobe Microsoft และSAP เร่งปรับแนวทางดำเนินธุรกิจรับ ODI

อะโดบี และไมโครซอฟต์ ประกาศเตรียมพร้อมเปลี่ยนแนวทางดำเนินธุรกิจ ในงานประชุมว่าด้วยประสบการณ์ลูกค้าระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม หรือ Adobe Summit 2019 ที่ผ่านมา ชานทานู นาราเยน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อะโดบี Adobe และสัตยา นาเดลลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Microsoft

ออกมากล่าวยืนยันถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโครงการ Open Data Initiative หรือ โอดีไอ หลังจากที่เคยประกาศว่าได้พิจารณาเตรียมพร้อมปรับแนวทางในการดำเนินธุรกิจเพื่อรองรับการปรับใช้แนวทางใหม่สำหรับข้อมูลธุรกิจ

เพื่อที่จะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าโดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ที่นำเสนอจากระบบคลาวด์ พร้อมกับ เอสเอพี (SAP) ในช่วงเดือนธันวาคม 2561 โดยทั้ง 3ราย ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางทั่วไป และชุดทรัพยากรสำหรับลูกค้า

อีกทั้งยังได้ตั้งเป้าหมายที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าในการสร้างการเชื่อมต่อใหม่ๆ ระหว่างข้อมูลที่แยกกระจัดกระจายอยู่ตามระบบต่าง ๆ รวมทั้งรวบรวมข้อมูลเชิงลึกอย่างไร้รอยต่อ และช่วยให้แบรนด์ต่าง ๆ ตรวจสอบการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

โดยตั้งแต่เริ่มต้น โครงการ “ODI” มุ่งเน้นการปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างแอพพลิเคชั่นและแพลตฟอร์มของพันธมิตรทั้งสามราย และอาศัยโมเดลข้อมูลร่วมสำหรับข้อมูลที่เก็บไว้ในคลังข้อมูลส่วนกลาง (Data Lake) ที่ลูกค้าเลือก 

ซึ่งคลังข้อมูลที่ผนวกรวมเข้าด้วยกันนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้เครื่องมือในการพัฒนา และแอพพลิเคชั่นที่จะใช้ในการสร้างและปรับใช้บริการ เพื่อปรับปรุงกระบวนการดังกล่าว บริษัททั้งสามมีแผนที่จะนำเสนอแนวทางใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าสำหรับการเผยแพร่ ปรับปรุง และกลั่นกรองฟีดข้อมูลจาก Adobe Experience Platform 

ซึ่งถูกเรียกใช้งานผ่าน Adobe Experience Cloud, Microsoft Dynamics 365 และ Office 365 และ SAP C/4HANA ไปยังคลังข้อมูลส่วนกลางของลูกค้า ซึ่งจะยกระดับการใช้งานเทคโนโลยี AI และ Machine Learning เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ และปรับปรุงการให้บริการแก่ลูกค้า

เอกชนให้ความสนใจเพิ่มหวังใช้ลดความยุ่งยาก

ODI

ยูนิลีเวอร์ (Unilever) ซึ่งเป็นลูกค้าของทั้ง 3 บริษัท เป็นหนึ่งในแบรนด์ระดับโลกรายแรก ๆ ที่แสดงความสนใจ และสนับสนุนโครงการ ODI ประกาศความตั้งใจที่จะลดความยุ่งยากซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยอาศัยการเชื่อมโยงข้อมูลดังกล่าว

ที่การประชุม Adobe Summit ยูนิลีเวอร์ยืนยันว่าบริษัทมีแผนที่จะผสานรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า ผลิตภัณฑ์ และทรัพยากรต่างๆ และใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อลดบรรจุภัณฑ์พลาสติก และกระตุ้นให้ผู้บริโภคทำการรีไซเคิลวัสดุ  

ด้วยการขจัดระบบจัดเก็บข้อมูลที่แยกกระจัดกระจาย ยูนิลีเวอร์จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงคลังและพลาสติกเข้ากับข้อมูลของอะโดบี เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าและกระตุ้นการมีส่วนร่วม เพื่อเร่งการพัฒนาโครงการนี้

นอกจากนี้ อะโดบี ไมโครซอฟท์ และเอสเอพี ยังเตรียมที่จะจัดการประชุมสภาที่ปรึกษาพันธมิตร (Partner Advisory Council) ซึ่งประกอบด้วยบริษัทกว่าสิบแห่ง รวมถึง Accenture, Amadeus, Capgemini, Change Healthcare, Cognizant, EY, Finastra, Genesys, Hootsuite, InMobi, Sprinklr และ WPP  องค์กรเหล่านี้ครอบคลุมอุตสาหกรรมและเซ็กเมนต์ที่หลากหลาย และเชื่อว่ามีโอกาสอย่างมากในโครงการ ODI สำหรับการสร้างคุณค่าใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้า

ODI

สเตฟาน พรีทอเรียส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ WPP กล่าวว่า ลูกค้าของเราพยายามที่จะบูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรม, ข้อมูล CRM, ERP และชุดข้อมูลภายในองค์กรอื่นๆ เพื่อให้เข้าใจผู้บริโภคแต่ละรายอย่างรอบด้าน แต่ลูกค้าก็ประสบปัญหาในการผนวกรวมข้อมูลเหล่านี้เข้าด้วยกัน  เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเกี่ยวกับโครงการความร่วมมือในด้านนี้ของอะโดบี ไมโครซอฟท์ และเอสเอพี และเรามองเห็นโอกาสมากมายในการส่งเสริมการพัฒนาโครงการ ODI

ส่วนขยาย

* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อการวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการและผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com, www.unilever.co.th

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่