ย้อนกลับไป 3-4 ปีที่แล้ว คำถามนี้ก็ถูกถามมาเรื่อย ๆ ถึงความกังวัลว่า หุ่นยนต์หรือ AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ตอนไหน ต้องบอกตามตรงว่า “มันแทนที่มนุษย์มานานแล้ว” ดังนั้นคำถามที่ควรถามตอนนี้คือ “AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ อีกมากเท่าไรกัน” ส่วนจะจริงแท้อย่างไรนั้น มาดูคำตอบจากบทความนี้กันครับ
หรือ AI จะเข้ามาแทนมนุษย์?
เรื่องของการแทนที่นั้นไม่ใช่เพิ่มเริ่มในปีนี้เลย เพราะเริ่มมานาน เพียงแต่คำถามนี้ก็ถูกถามมาเรื่อย ๆ ว่า หุ่นยนต์หรือ AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ตอนไหน เพราะในความเป็นจริง เอไอ ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว และเริ่มที่จะทำงานแทนที่มนุษย์ในบ้างส่่วนมานานแล้ว เพราะฉะนั้นการเข้ามาแทนที่ของ เอไอ จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ มากขึ้นอีกมากแค่ไหน
จากที่บอกว่ามันแทนที่มนุษย์มานานแล้วนั้น ต้องขอเล่าย้อนไปในสมัย “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก” ช่วงปี ค.ศ. 1760 ถึง ค.ศ. 1850 ช่วงนั้นมนุษย์ได้นำเครื่องจักรไอน้ำ มาช่วยผลิตสินค้าหรือพัฒนาเครื่องมือต่าง ๆ จนทำให้สามารถผลิตซ้ำเช่นเดิมได้เป็นจำนวนมาก และก่อให้เกิดเครื่องมือชนิดใหม่อีกมากมาย
จากนั้นก็เข้าสู่ “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2” ช่วงปี ค.ศ. 1850 กำเนิดเครื่องยนต์สันดาปและไฟฟ้า ที่ช่วยให้เกิดสิ่งประดิษฐ์พลิกโลกมากมาย เช่น รถยนต์, หลอดไฟ และโทรเลข เป็นต้น จนเข้าสู่ “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3” ปี ค.ศ. 1969 จุดเริ่มต้นของยุคอิเล็กทรอนิกส์หรือ IT ช่วงกำเนิดคอมพิวเตอร์
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของ เอไอ ซึ่งเท่ากับว่า เอไอ มีรากฐานมากจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมทั้ง 3 ครั้งดังกล่าวนั้นเอง ถามว่ายังไง ลองมองย้อนตอนที่มนุษย์เริ่มใช้เครื่องจักรไอน้ำครั้งแรกดู จุดเด่นของเครื่องจักรไอน้ำคืออะไร มีประสิทธิภาพการผลิตสูง มีความแม่นยำ
หรือมี “การทำงานแบบอัตโนมัติ” การผลิตในยุคแรก ๆ มนุษย์ต้องลงมือทำอะไรเองทุกอย่าง แต่เครื่องจักรไอน้ำมันมีความอัตโนมัติในตัว คือตราบใดที่พลังงานไอน้ำยังไม่หมด ลูกสูบในตัวมันก็จะสูบต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดพลังงาน มนุษย์ก็เอาความอัตโนมัติตรงนี้เองมาเป็น “ตัวช่วย” ในการผลิต
แรก ๆ ต้องใช้มนุษย์หลายคนคอยควบคุมอย่างใกล้ชิด กระทั่งเริ่มมีไฟฟ้าเข้ามา มีระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามา จากเครื่องไอน้ำที่ต้องคอยควบคุมตลอดเวลา ต่อมาก็เริ่มที่จะ “ทำงานด้วยตัวเองได้แล้ว” จนน่าคิดว่า เมื่อไรมันจะทำงานด้วยตัวเองแบบไม่ต้องเพิ่งมนุษย์อย่างสมบูรณ์
ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่ “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4ฺ” การปฏิวัติที่จะส่งผลสั่นสะเทือนลึกซึ้งยิ่งกว่าการปฏิวัติครั้งใด ๆ และจะพลิกโฉมทั้งวงการอุตสาหกรรมและประวัติศาสตร์ของมนุษย์กันเลย
INDUSTRY 4.0 หรือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 เรียกได้ว่าเป็นยุคที่ใช้การผลิตด้วย ‘เครื่องจักรอัตโนมัติ’ (Automation System) สืบเนื่องจากในยุคนี้เรามีเทคโนโลยีพลิกโลกอย่าง ไอโอที และ เอไอ ทำให้เกิดเป็นการผลิตในระบบโรงงาน (Factory System) สมัยใหม่
จากเดิมที่สามารถผลิตสินค้าแบบเดียวกันจำนวนมากในเวลาไม่นาน ก็กลายเป็นผลิตสินค้าได้หลากหลายรูปแบบ และแตกต่างกันในเวลาไม่นานแทน โดยเครื่องจักรอัตโนมัติ สามารถทำงานด้วยการใช้ ระบบข้อมูล (อานิสงส์จาก Big Data หรือ IoT)
และควบคุมด้วยตัวมันเอง (อานิสงส์จาก เอไอ) มนุษย์แทบไม่ต้องควบคุมแบบทุกขั้นตอนเหมือนกัน และที่สำคัญคือ ไม่ต้องใช้คนจำนวนมาก ช่วยควบคุมเหมือนก่อนด้วย
มีข้อมูลจากสมาพันธ์หุ่นยนต์นานาขาติหรือ International Federation of Robotics (IFR) เผยว่า ในปี 2559 ยอดขายหุ่นยนต์เพื่องานอุตสาหกรรมทั่วโลก มีเพิ่มขึ้นถึง 31% จากปีก่อนหน้า และประเทศที่เป็นหัวหอกหลักครั้งนี้ ก็คือประเทศจีน
อุตสาหกรรมจีนจะประยุกต์ใช้งาน เอไอ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันจีนก็เป็นตลาดหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว อย่างที่ทราบกันดีว่าจีน ถือเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรเป็นอันดับ 1 ของโลก คำถามคือ คนจีนจะถูกแย่งงานจากหุ่นยนต์ที่มีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ไปขนาดไหนแล้ว และพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร
แต่คำตอบสำหรับคนจีนคือ เอไอ ไม่ได้มาแย่งงาน แต่มันคือโอกาสต่างหากช่วงนี้จะเห็นเลยว่า ประเทศจีนมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง เอไอ มาก ๆ ทั้งนี้มีทั้งผลสำรวจว่า คนจีนส่วนใหญ่มอง AI เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อสร้าง ไม่ได้มาเพื่อทำลาย (จากผลสำรวจของสำนักจัดหางานสัญชาติอังกฤษ ไมเคิล เพจ)
ไคฟู ลี ผู้เชี่ยวชาญด้าน เอไอ และอดีตบริหารระดับสูงของ Goole ในประเทศจีน เคยกล่าวในเวที TED Talk ว่า “เอไอ ถูกสร้างมาเพื่อให้ Optimize ไม่ใช่ Create” (ข้อมูลจาก gengsittipong.com) และยังพูดถึงแง่มุมที่น่าสนใจด้วยว่า งาน เอไอ เข้ามาแทนที่ส่วนใหญ่คืองานแบบ Routine หรือการทำงานแบบซ้ำ ๆ ไม่รู้จบ
เช่น งานผลิตชิ้นส่วนในโรงงานเป็นต้น ส่วนงานที่ เอไอ แทนที่ได้ยาก คืองานที่ต้องใช้ความ Creative หรือความคิดสร้างสรรค์ทั้งหลาย อีกงานคือ งานที่ต้องทำเพื่อสังคม หรือส่วนตัวเลย ผมคิดว่าเป็นงานที่ต้องใช้ความน่าเชื่อถืออย่าง หมอ ตำรวจ และทหาร ส่วนนี้ เอไอ ก็ยากที่จะแทนที่เช่นกัน
ดังนั้นสรุปเลยคือ โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง จะมีการใช้เครื่องจักรกลอัตโนมัติหรือ AI เข้ามามากขึ้น และมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน แรงงานที่เป็นคนงาน ซึ่งทำงานแบบ Routine ไปวัน ๆ ก็จะถูกแทนที่ในเร็ว ๆ นี้เลย และไม่ต้องรออนาคตด้วย
เพราะปัจจุบัน เราก็อยู่ในยุค INDUSTRY 4.0 หรือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 แล้วนั้นเอง ส่วนควรทำอย่างไรนั้น ก็ลองวิเคราะห์ดูว่า งานที่เราทำอยู่ปัจจุบัน มันให้คุณค่ากับเราขนาดไหน และจะมีอนาคตให้เราหรือไม่ ถ้ายังไม่แน่ใจ
ก็ขอแนะนำให้ลองไปศึกษาเรื่อง เอไอ (ลองศึกษาเพิ่มเติมได้ที่บทความ “เปิดปม เอไอ เทคโนโลยียุคใหม่ จะมาแทนที่มนุษย์จริง หรือไม่?”) แล้วลองมาวิเคราะห์ในอีกมุมมองว่า งานที่ทำอยู่ที่นี้ คิดว่า เอไอ มันบอกว่า “Easy” ไหม
ถ้าคิดว่าใช่ ก็รีบพิจารณาตัวเองด่วน ๆ เลย และเปลี่ยนวิธีคิดใหม่จาก “เอไอ น่ากลัว” เป็น “เราจะใช้ประโยชน์จาก เอไอ อย่างไร ให้ได้มากที่สุด” แทน เราต้องเหนือว่ามันเท่านั้น !!
ส่วนขยาย
* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่