ความเจริญก้าวหน้า และปริมาณของข้อมูล (Data) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดวิกฤตในการพึ่งพิงข้อมูล และการจัดการความเสี่ยงในการจัดเก็บข้อมูลบน “คลาวด์” (Cloud) ดังนั้นเพื่อให้สามารถใช้งานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรต้องเร่งศึกษาเครื่องมือที่จะช่วยบริหารจัดการได้อย่างรวมศูนย์…
highlight
- ปัจจุบันมีดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) เพียง 5% ของจำนวนดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกเท่านั้นที่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย นั่นหมายความว่าองค์กรกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการใช้งานแบบดั้งเดิมที่มีอายุการใช้งานมา 20 ปี วันนี้องค์กรจึงต้องเร่งนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อลดช่องว่างระหว่างเลเยอร์ของฮาร์ดแวร์โครงสร้างพื้นฐาน และเลเยอร์ซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่น ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยง ทั้งในด้าน การจัดเก็บ, ความล่าช้า และการเข้าถึงข้อมูล, ค่าใช้จ่าย, มูลค่าของข้อมูลที่เพิ่มขึ้นตามเวลา หรือ แม้แต่การกระทบต่อเร่ืองสิ่งแวดล้อม เองก็ตาม
วิกฤตในการเพิ่มขึ้นของภาวะพึ่
ในเร็ว ๆ นี้ เราจะได้เห็นการใช้ ซอฟต์แวร์ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของความต้องการที่ไม่จบสิ้น และการที่ต้องพึ่งพาข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าเรื่องของการบริหารจัดการใช้ ข้อมูล (Data) เป็นประเด็นร้อนที่มีการพูดถึงมาหลายปีแล้ว
จากการที่ผู้ขายเทคโนโลยี ที่ปรึกษา พันธมิตร และลูกค้าต่าง จำแนกทุกแง่มุมของข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาด แหล่งที่มา ที่จัดเก็บ เพื่อแยกแยะลักษณะ ขุดค้นหารายละเอียด วิเคราะห์ และหาคุณค่าของข้อมูลนั้น ๆ หรือเราจะเข้าใจผิดไป?
แม้สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง และในหลาย ๆ ครั้งก็ช่วยพัฒนาองค์ความรู้และคุณค่าของธุรกิจ แต่เรามองข้ามแง่มุมสำคัญอย่างหนึ่งไป นั่นคือเราอยู่ในภาวะที่ต้องพึ่งพิงข้อมูลที่อยู่รายล้อมตัวเรามากขึ้นทุกที
ลักษณะและคุณสมบัติต่าง ๆ ของข้อมูลเป็นสิ่งที่เรามักเลือกได้ว่าจะใช้หรือไม่ใช้ แต่เป็นคนละกรณีกับการที่เราต้องพึ่งพาข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งอุปกรณ์ต่าง ๆ เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเท่าใด การพึ่งพาข้อมูลของเราและการมีปฏิสัมพันธ์ของทุกคน ก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
What is Dependency?
ก่อนอื่น มาตีความ dependency กันก่อน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป องค์กรธุรกิจและภาครัฐในปัจจุบัน ต่างพึ่งพาการจัดเก็บและการเข้าใช้ข้อมูลเกือบทุกนาที สำหรับบุคคลทั่วไปอาจมาในรูปแบบของอีเมล หรือรูปภาพบน iCloud สำหรับองค์กรธุรกิจ
ซึ่งอาจเป็นข้อมูลสำคัญทั้งที่อยู่บน พับลิค คลาวด์ (Public Cloud) ไพรเวท คลาวด์ (Private Cloud) หรือไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud) และสำหรับภาครัฐก็เช่นข้อมูลประชากร และทรัพยากรต่างๆ ที่จำเป็นต่อการบริหารประเทศให้ราบรื่น และปลอดภัย ลองคิดว่าหากบัญชีบน iCloud สูญหาย
ข้อมูลที่หายไปก็อาจทำให้ความทรงจำในชีวิตของเราหายไปได้ ซึ่งการไม่สามารถดึงข้อมูลลูกค้าตามที่ได้รับการร้องขอ จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากไม่ว่าจะเป็นองค์กรใหญ่หรือเล็ก และข้อมูลของภาครัฐที่สูญหายไปอาจทำให้เกิดความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศอ่อนแอลงไปกับแรงกระเพื่อมต่าง ๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจโลก
ประเด็นสำคัญก็คือ ในขณะที่ความต้องการและการพึ่งพาข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ข้อมูลที่พึ่งพาได้ดูเหมือนจะมีความไม่มั่นคงเพิ่มขึ้นเช่นกัน ปัจจุบันมี ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) เพียง 5% ของจำนวนดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกเท่านั้นที่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย นั่นหมายความว่าองค์กรกำลังนำสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่มีอายุการใช้งานมา 20 ปี
แล้วมาใช้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกที่ต้องพึ่งพิงข้อมูล แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไร องค์กรจึงต้องเร่งนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อลดช่องว่างระหว่างเลเยอร์ของฮาร์ดแวร์โครงสร้างพื้นฐาน และเลเยอร์ซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่น ซึ่งมีความเสี่ยงหลายประการ เช่น
การจัดเก็บ วันนี้ปริมาณข้อมูลที่มีอยู่อย่างมากมายไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ปริมาณที่มากนั้นทำให้เกิดข้อจำกัดทางกายภาพ หลายครั้งที่เราพูดถึงคลาวด์ว่าเป็นพื้นที่ที่ไม่มีข้อจำกัด ไม่มีขอบเขต และเราก็เคยชินกับการ “เพิ่มเติม” ความจุในการจัดเก็บข้อมูลของเราได้ตามใจ
แต่มันไม่ได้ไร้ขอบเขตขนาดนั้น เรายังต้องการพื้นที่ทางกายภาพที่จำเป็นต้องใช้จัดเก็บอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วยเช่นกัน ข้อมูลนั้นมีความคล้ายคลึงกับสถานที่ฝังกลบขยะ เราเติมข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า และเราเก็บมันไว้ทั้งหมด เพราะเราไม่จำเป็นที่จะต้องกำจัดสิ่งใดเลย
ด้วยเหตุนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์ ของเรา จึงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ The Citadel ในมลรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา มีขนาด 1.62 ตร.กม. ซึ่งใหญ่กว่าทำเนียบไวท์เฮ้าส์ของประธานาธิบดีถึง 250 เท่าหากปริมาณของข้อมูลยังคงเพิ่มขึ้น (เพิ่มขึ้น 4 เท่าในทุกๆ 5 ปี) เราจะจัดการกับดาต้าเซ็นเตอร์อย่างไร
ความล่าช้า และการเข้าถึงข้อมูล เมื่อพิจารณาถึงเรื่องการเข้าใช้งาน เราเข้าถึงและใช้งานข้อมูลของเราด้วยวิธีใด เวลาไหน และด้วยความเร็วระดับใด คำตอบจะแตกต่างกันตามประเภท สถานที่ และข้อกำหนดหรือความต้องการของข้อมูลนั้นๆ เหมือนเมื่อเราขับเคลื่อนยานพาหนะไร้คนขับ
ซึ่งใช้ เอไอ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Machine Learning) ความต้องการข้อมูลจะเพิ่มขึ้นตามความต้องการที่จะต้องใช้เพื่อให้มั่นใจว่าแอปพลิเคชั่นสำคัญต่างๆ จะทำงานได้ตามลำดับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นำเราสู่กระบวนการย่อยต่างๆ
เนื่องจากมีอุปกรณ์ที่ทำการรวมศูนย์ข้อมูลและกระจายข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเราแยกเก็บข้อมูลไว้หลายแห่ง เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าใช้จ่าย เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลทั้งหมดของเราปลอดภัย ได้รับการปกป้อง พร้อมใช้ และเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลาที่เราต้องการ
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แม้ว่า Citadel ที่ได้เอ่ยถึงก่อนหน้านี้จะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุดในโลก แต่ก็ยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ ผลกระทบเกิดจากการทำงานของ
ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) การระบายความร้อน และเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องอัปเกรดดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใหญ่โตเหล่านี้อีกครั้งเพียงเพื่อขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น
ค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ เราได้กล่าวถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากการที่เราต้องให้ความสำคัญ และพึ่งพิงข้อมูลแล้ว และยังมีผลกระทบกับค่าใช้จ่ายที่จับต้องได้อีกด้วย
มูลค่า ก่อนหน้านี้เราได้ระบุถึงมูลค่าของข้อมูลที่มีต่อบุคคลทั่วไป ต่อองค์กรธุรกิจ และต่อภาครัฐ แต่ในโลกความเป็นจริงที่ข้อมูลเพิ่มขึ้น 4 เท่าในทุก ๆ 5 ปี เราจะมั่นใจ ได้อย่างไรว่า มูลค่าของข้อมูลจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เราต้องไม่ลืมว่ายังมีข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์เลยปนอยู่ด้วย
ค่าเฉลี่ยของข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์นั้น ทำให้ ธุรกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 15 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ข้อมูลจาก Gartner, 2017 Data Quality Market Survey) แน่นอนว่าการบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้จะยากขึ้นเรื่อย ๆ
ความปลอดภัย ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากอุปกรณ์ที่มากขึ้น ได้รับการจัดเก็บไว้ในที่เก็บที่หลากหลายมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อความสมบูรณ์ของข้อมูล และระบบที่เชื่อมต่อทั้งหมด ทั้งทางดิจิทัล และทางกายภาพ
แม้ที่กล่าวมาข้างต้นดูเหมือนจะรุนแรง แต่เทคโนโลยีใหม่ต่าง ๆ ช่วยได้ เทคโนโลยีเหล่านั้นกำลังปิดช่องว่างระหว่างโลกทางกายภาพ และโลกเสมือน เมื่อช่องว่างแคบลงเท่าใด เราก็จะสามารถเข้าถึง บริหารจัดการ และได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น เราจะพึ่งพาโลกทางกายภาพน้อยลงและพึ่งพาโลกเสมือนได้มากขึ้น
เทคโนโลยีที่เป็นระบบปฏิบัติการที่ช่วยให้สภาพแวดล้อมในการทำงานขององค์กรไม่ซับซ้อน มีเกิดขึ้นมาในอุตสาหกรรมแล้ว และกำลังได้รับความไว้ใจจากองค์กรให้เข้ามาช่วยระบบการจัดเก็บและรักษาข้อมูล
แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้ช่วยให้ภาวะที่ต้องพึ่งพาข้อมูลลดลง แต่ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยง และความท้าทายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่มีอยู่อย่างล้นหลาม และลดความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะที่ต้องพึ่งพาข้อมูลให้น้อยลงได้
ส่วนขยาย
* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อการวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว)
*** ที่มาลทความ : ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์
**** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่
