69% ของผู้บริโภคชาวไทยยกให้ “ความปลอดภัย” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มากกว่าเรื่องการใช้บริการดิจิทัล และต้องการระบบ Physical Biometrics มากสุด…
highlight
- ผลสำรวจ Global Identity and Fraud Report ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค พบ 69% ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับ “ความปลอดภัย“ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด 84% ของผู้บริโภคชาวไทยเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยแบบระบบตรวจสอบ ชีวมิติทางกายภาพ (Physical Biometrics) ของธนาคารออนไลน์ว่ามีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูง
- ในช่วง 6 เดือน ที่ผ่านมา 70% ขององค์กรธุรกิจในประเทศไทยได้ลงทุนในโครงการที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความโปร่งใส ขณะที่ 76% มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติม
ผู้บริโภคไทยต้องการ ความปลอดภัย สูงกว่า บริการดิจิทัล
ผลสำรวจ Global Identity and Fraud Report ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ชี้ 69% ของผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับ “ความปลอดภัย“ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของประสบการณ์การใช้งานออนไลน์ ตามด้วย 20% ให้ความสำคัญเรื่องความสะดวกสบาย และ 11% ให้ความสำคัญเรื่องความชอบเฉพาะบุคคล
นอกจากนี้ ยังพบว่า 40% ธุรกิจในประเทศไทย พบกับความสูญเสียที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตทางออนไลน์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการขโมยบัญชีใช้งานและเปิดบัญชีปลอม จากผลการสำรวจพบว่า 66% ของผู้บริโภคในประเทศไทยรู้สึกว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลในสังคมดิจิทัลของตัวเอง
แลกกับความสะดวกสบายนั้น ถือเป็นเรื่องส่วนตัว โดยที่พบว่า 63% ของธุรกิจในประเทศไทยเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลมากขึ้นเพื่อพัฒนาประสบการณ์หรือเพื่อใช้ในการนำเสนอสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น
มิสเตอร์เดฟ ดิมาน กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดเกิดใหม่ บริษัท
เอ็กซพีเรียน กล่าวว่า วันนี้เมื่อเรื่องของปฏิสัมพันธ์ ระหว่างธุรกิจ และผู้บริโภค ที่เกิดขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัลที่มีมากขึ้นนั้น ธุรกิจจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
“ผู้บริหารในองค์กรจำเป็นอย่างยิ่งต้องลงทุนในเรื่องของการตรวจสอบตัวตน และความสามารถในการจัดการการทุจริต เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย“
โดยข้อมูลเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ประมาณการณ์ไว้ว่าจะมีมูลค่าถึง 1 ใน 4 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศในปี 2570 และข้อมูลจากการวิจัยของกูเกิล–เทมาเสค
นอกจากนี้ในรายงาน e-Conomy SEA 2018 ระบุว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยนั้นได้รับการผลักดันด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซ รวมถึงจำนวนประชากรออนไลน์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีอัตราเฉลี่ยในการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากถึง 5 ชั่วโมงต่อวัน ผ่านทางอุปกรณ์มือถือ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราเฉลี่ยที่สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก
ในขณะที่วิธีการรักษาความปลอดภัยที่ใช้อยู่ในองค์กรนั้นยังคงเป็นเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม ผลการวิจัยพบว่าผู้บริโภคชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่และโซลูชั่นพิสูจน์ตัวตนที่ล้ำสมัย ยกตัวอย่างเช่น ระบบตรวจสอบตัวตนชีวมิติ (Biometrics) ทั้งลักษณะทางกายภาพและลักษณะทางพฤติกรรมแบบที่ผู้ใช้คุ้นเคยของธนาคารในประเทศไทย
ซึ่งมีมาตรฐานในระดุบที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค 84% ของผู้บริโภคชาวไทยเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยแบบระบบตรวจสอบ ชีวมิติทางกายภาพ (Physical Biometrics) ของธนาคารออนไลน์ว่ามีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูง
ในขณะที่ 80% ระบุว่ามีความเชื่อมั่นสูงต่อ ระบบการตรวจสอบทางชีวมิติแบบลักษณะทางพฤติกรรมการใช้งานของตนเอง (Behavioural Biometrics) ซึ่งวันนี้ผู้บริโภคมองหาองค์กร หรือธุรกิจ ที่ยกระดับมาตรการเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และระบบป้องกันในการติดต่อสื่อสารบนดิจิทัล
ซึ่งหนึ่งวิธีการที่พิสูจน์ได้ว่ามีประสิทธิภาพและได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภค คือ การพิสูจน์ตัวตนทางชีวภาพซึ่งเพิ่มความเร็วและลดความซับซ้อนของกระบวนการตรวจสอบตัวตนสำหรับผู้บริโภค เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับหลายธุรกิจไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร สถาบันการเงินและภาคประกันภัย หน่วยงานราชการ
และผู้ให้บริการระบบการชำระเงินมุ่งมั่นที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในระดับสูงสุดในเรื่องของการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ปัจจุบันผู้ให้บริการระบบการชำระเงินในประเทศไทยได้รับความไว้วางใจสูงสุดจากผู้บริโภค (76%) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ซึ่งเรื่องดังกล่าวสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลไทยในความพยายามผลักดันการใช้ธุรกรรมดิจิทัลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการไทยแลนด์ 4.0 นอกจากนี้ 93% ของผู้บริโภคชาวไทยคาดหวังเรื่องความโปร่งใสในทุกขั้นตอนจากธุรกิจว่าจะใช้ข้อมูลของพวกเขาอย่างไร
ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแฟซิฟิค จากความต้องการดังกล่าว พบว่าองค์กรธุรกิจ 70% ในประเทศไทยที่สำรวจได้ลงทุนในโครงการที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยมีอีก 76% ของธุรกิจในประเทศไทยมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว
การลงทุนหรือความตั้งใจในการลงทุนเพื่อความโปร่งใสของธุรกิจในประเทศไทยถือเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรองจากเวียดนาม ตัวอย่างของการริเริ่มเหล่านี้ ได้แก่ การให้ความรู้แก่ผู้บริโภค การสื่อสารข้อตกลงอย่างชัดเจน และช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขา
*รายงานประจำปีฉบับเต็ม ด้านอัตลักษณ์บุคคล (การพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคล) และการทุจริต (Global Identity and Fraud Report – Asia-Pacific edition) สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่
ส่วนขยาย
* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อการวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการและผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่