ในยุคที่ Digital Transformation ไม่เพียงแต่ธุรกิจที่ถูกดิสรัป ที่ต้องปรับตัว ธุรกิจที่ต้องการเติบโตต่อไปก็ต้องปรับตัวโดยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจเช่นเดียวกัน และเมื่อมองหาในองค์กรว่า ใครควรจะรับภาระอันยิ่งใหญ่นี้เพื่อนำไปสู่ “ทางรอด” ของธุรกิจ ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นฝ่ายไอทีซึ่งถูกคาดหวังว่าน่าจะมีความรู้พื้นฐานที่พร้อมในการนำเทคโนโลยี Digital มาต่อยอดได้รวดเร็วที่สุด
แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว องค์กรต่าง ๆ มักจะมองว่า ฝ่ายไอทีจะมีงานทำเฉพาะตอนที่ระบบมีปัญหาเท่านั้น ถ้าระบบสามารถทำงานได้ปกติ แปลว่าบุคลากรเหล่านั้นน่าจะมีเวลาในการพัฒนาตัวเองเพื่อช่วยธุรกิจขององค์กรได้ แต่หารู้ไม่ว่า การที่ระบบทำงานเป็นปกตินั้น เกิดจากการทำงานหนักในการตรวจสอบ ป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น เมื่อมีงานเต็ม 2 มืออยู่แล้ว การใส่งานที่มีเดิมพันด้วยอนาคตบริษัทเข้ามาเพิ่ม ก็จำเป็นต้องวางงานบางส่วนลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความเสี่ยงที่หลายองค์กรอาจไม่เคยตระหนักมาก่อน เช่น
- การถูกโจมตีทางไซเบอร์ เพราะฝ่ายไอทีไม่มีเวลาที่จะสำรวจทราฟฟิกที่น่าสงสัย
- การแก้ปัญหาที่ไม่จบสิ้น เพราะฝ่ายไอทีไม่มีเวลาวิเคราะห์ปัญหาที่สาเหตุ จึงแก้ไขด้วยวิธีการเฉพาะหน้าหรือ Walk Around เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหานั้นที่ถูกซุกไว้ใต้พรมอาจกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต+
- ปัญหาความปลอดภัยของข้อมูล และความต่อเนื่องของธุรกิจ เพราะฝ่ายไอทีไม่มีเวลาทดสอบการกู้ข้อมูล
- การขยาย Scale ตามความต้องการของธุรกิจอาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น เพราะต้องพึ่งพาบุคคลากรที่ต้องมีความรู้อย่างมาก บวกกับข้อจำกัดด้าน Facility ในองค์กรเช่น พื้นที่ การใช้งานไฟฟ้า รวมทั้งระบบให้ความเย็นต่าง ๆ ทำให้การขยาย Scale ความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
แล้วองค์กรควรจะรับมือกับความเสี่ยงนี้อย่างไร
ทางเลือกในการรับมือความเสี่ยงนี้ ขึ้นอยู่กับการประเมินความเสี่ยงของแต่ละองค์กรดังนี้
- ยอมรับความเสี่ยงนั้น แน่นอนว่าวิธีไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรเพิ่ม แค่ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าอย่าให้เกิดปัญหาขึ้น
- การจ้างคนเพิ่ม โดยเลือกระหว่างจ้างคนมาทำเรื่อง Digital Transformation เลย หรือ จ้างคนมาดูแลงานส่วนเดิมที่ไม่มีคนทำ แต่บริษัทต้องยอมรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เพราะมนุษย์ไอทีในยุคนี้ เปรียบเสมือนมนุษย์ทองคำ เพราะค่าจ้างเฟ้อมาก
- โยนความเสี่ยงให้มืออาชีพจัดการ โดยใช้บริการจากบริษัทภายนอกที่จะเข้ามาจัดการงาน Day to day ของฝ่ายไอทีแทน ตั้งแต่การเข้ามาดูแลระบบ จนไปถึง บริการนำระบบและข้อมูลต่างๆขององค์กร ขึ้นไปบริหารจัดการบน Private Cloud Service ซึ่งวิธีนี้นอกจากทำให้ระบบทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีความยืดหยุ่น และความปลอดภัยสูง ทำให้ฝ่ายไอทีสามารถโฟกัสไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรได้อย่างเต็มที่ โดยหนึ่งในผู้นำด้านการบริหาร Data Center รายใหญ่ก็คือบริษัทเอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ ประเทศไทย (เอ็นทีที คอม) ซึ่งมีโซลูชั่นที่ช่วยจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ ของ Private Cloud Serviceไปจนถึงการทำ Hybrid Cloud Solution ที่ช่วย Support การเติบโตในยุค Digital Transformation
NTT Cloud SD-Exchange โซลูชั่นที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำโดยตรง
NTT Cloud SD-Exchange เป็นโซลูชั่น Hybrid Cloud ที่ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรที่ต้องการเติบโต โดยการลดภาระงาน ดูแล ระบบและข้อมูลต่างๆขององค์กร ด้วยแนวคิดของ SD-Exchange Service
ซึ่งก็คือการที่ NTT Com ได้ทำการเชื่อมต่อเครือข่ายจาก Data Center ของตนเองออกไปยังเหล่าผู้ให้บริการ Cloud ชั้นนำหลากหลายรายทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจได้ทั้งในประสิทธิภาพ, ความมีเสถียรภาพ และความมั่นคงปลอดภภัยในการเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างกัน เพื่อตอบโจทย์สำหรับเหล่าธุรกิจองค์กรที่ต้องการทำ Hybrid Cloud จากนั้นจึงขยายโซลูชันให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ด้วยการให้บริการ SD-WAN เชื่อมต่อจากสาขาของธุรกิจองค์กรมาสู่ Data Center ของ NTT Com ทำให้ธุรกิจต่างๆ มีช่องทางการเชื่อมต่อเครือข่ายจากองค์กรของตนออกไปสู่ผู้ให้บริการ Cloud รายต่างๆ ได้โดยมี NTT Com เป็นตัวกลางที่สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้
ทำให้การทำงานของ Hybrid Cloud ระหว่าง Private Cloud กับ Public Cloud เชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการรับประกันคุณภาพในการเชื่อมต่อที่มีเสถียรภาพตามข้อตกลงมาตรฐานการให้บริการ (Service Level Agreement :SLA) นอกจากนั้นยังมีความยืดหยุ่น โดยสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไข Bandwidth การเชื่อมต่อได้ตลอดเวลา เช่นบางช่วงเวลาองค์กรต้องการใช้งานระบบ Saleforce สูงก็สามารถปรับเพิ่ม Bandwidth ไปยัง Public Cloud Service นั้นได้ทันที ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถใช้แอดมินเพียงคนเดียวในการบริหารจัดการบริการของ NTT ทั้งหมดนี้ตอบโจทย์ความเสี่ยงในการบริหาร ระบบและข้อมูลต่างๆขององค์กรในทุกด้านไม่ว่าจะเป็น
• การเฝ้าระวังความปลอดภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์
• การดูแลรักษา Hardware และ อุปกรณ์ต่าง ๆ
• การแก้ไขปัญหาตามข้อตกลงมาตรฐาน
• การขยายขนาดเพื่อรองรับการเติบโต
• ความปลอดภัยของข้อมูล และ ความต่อเนื่องของธุรกิจ
• ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อไปยัง Public Cloud Service ทั่วโลก
ทำให้ฝ่ายไอที Transform ตัวเองจากการเป็นหน่วยต้นทุน (Cost Center) มาเป็น ศูนย์รายได้ (Profit Center) ที่ใช้เงินลงทุนได้อย่างคุ้มค่า และเพื่อเป็นกำลังหลักในการนำองค์กร Transform ไปสู่ “ทางรอด” ในยุค Digital Transformation อย่างยั่งยืน