เฮงเค็ล ประเทศไทย (Henkel Thailand) โชว์ผลสำเร็จเปลี่ยนสู่โรงงานอัจริยะ (Smart Factory) หลังใช้เทคโนโลยียกระดับกระบวนการทำงานตั้งแต่เริ่มจนผลิตสินค้าเสร็จ…
highlight
- บริษัท เฮงเค็ล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และเทคโนโลยีกาวชั้นนำจากเยอรมนี โชว์นวัตกรรมการผลิตแบบ Smart Factory ที่โรงงานเทคโนโลยีกาว ชลบุรี สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- การเปลี่ยนโรงานเฮงเค็ลที่ชลบุรีเป็น Smart Factory ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง 12% จากปี 2560 และมีการทำงานติดต่อกันมากกว่า 3,300,000 ชั่วโมง หรือ 5,000 วัน โดยไม่มีอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการเสียเวลาอีกด้วย
Henkel โชว์ผลสำเร็จเปลี่ยนสู่ Smart Factory ทั้งระบบ
อิศรา เกษมเศรษฐ ผู้จัดการโรงงานผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีกาว เฮงเค็ล ประเทศไทย กล่าวว่า เฮงเค็ล (ประเทศไทย) เราได้ดำเนินธุรกิจ ในการผลิตเทคโนโลยีกาว ที่ใช้ในอุตสากรรม และเคมีภัณฑ์ที่เป็นส่วนประกอบให้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน โดยมีโรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ. ชลบุรี
ซึ่งเราถือเป็นหนึ่งในในฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาคซึ่งผลิตสินค้าเทคโนโลยีกาวกว่า 500 ชนิด สำหรับอุตสาหกรรม 7 ประเภท อาทิ เช่น กาวบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภค กาวยานยนต์และโลหะ กาวเพื่อผู้บริโภค, ช่างฝีมือ และงานก่อสร้าง และกาวอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิคส์
และด้วยเป้าหมายในการที่ต้องการ มุ่งพัฒนาพัฒนาทุกกระบวนการผลิตให้ตอบรับยุค อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) เฮงเค็ล จึงเริ่มการผลิตโดยใช้เทคโนโลยี Smart Factory ตั้งแต่ ปี 2558 และได้นำนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มคุณภาพ และประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุน และเวลาในการผลิตสินค้า
อีกทั้งยังลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ มีการใช้วัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ของเสียในกระบวนการผลิตลดลง ทำให้โรงงานแห่งนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง การนำระบบ Smart Factory มาใช้กับโรงงานกาวที่ชลบุรี ทำให้เราสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงอย่างเห็นได้ชัด
โดยเมื่อปีที่แล้ว โรงงานของเรามีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง 12% จากปี 2560 และมีการทำงานติดต่อกันมากกว่า 3,300,000 ชั่วโมง หรือ 5,000 วัน โดยไม่มีอุบัติเหตุที่ทำให้พนักงานต้องหยุดงาน ซึ่ง เฮงเค็ล ภูมิใจกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น และยังคงพัฒนาประสิทธิภาพของการทำงานต่อไป
นอกจากนี้ ความสำเร็จที่เกี่ยวกับความยั่งยืนที่เห็นได้ชัดในปี 2561 ได้แก่ โรงงานสามารถลดการใช้พลังงานได้ 17% ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 16% และลดของเสียในระบบ 46% เมื่อเทียบกับปี 2555 อีกทั้งการใช้น้ำ และน้ำเสียในระบบยังลดลงได้ถึง 20%
การนำเอาระบบ Smart Factory มาใช้ยังทำให้กระบวนการผลิตทั้งหมดเป็นรูปแบบดิจิทัลที่เก็บข้อมูลเช่นเดียวกับการใช้เทคโนโลยีแบบ IoT ตั้งแต่การจัดการวัตถุดิบ การผลิต จนถึงสินค้าที่ผลิตแล้วเสร็จ โดยมีการจัดการข้อมูลทั้งระบบด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถดูได้จากหน้าจอแดชบอร์ด
และวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบ Data Analytic ที่ทาง เฮงเค็ล ได้พัฒนาขึ้นเอง และมีความปลอดภัยเพราะมีการเก็บข้อมูลในศูนย์ข้อมูลกลางในตลาดประเทศ การลงทุนทั้งหมดนี้ทำให้ประสิทธิในการผลิตสูงขึ้น และมีความยืดหยุ่น ในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน
และทำให้ตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีในการยกระดับกระบวนการทำงานทั้งหมดเราไม่ได้มองเพียงแค่การที่มีเทคโนโลยีเครื่องจักรที่ทันสมัย และโซลูชั่นที่ดีเท่านั้น เพราะเราเชื่อว่าการจะใช้เทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพ จะต้องเกิดขึ้นจากความรู้ความเข้สใจ และใช้งานเทคโนโลยีเป็น
ร่วมถึงมีแนวคิดแบบมีส่วนร่วมกับองค์กรเราจึงได้จัดให้มีการอบรมให้พนักงาน เพื่อเพิ่มทักษะในการทำงานด้วยระบบ Lean Manufacturing เพื่อตอบรับกับการทำงานในรูปแบบ Smart Factory สร้างมูลค่าองค์กรที่เพิ่มสูงขึ้น และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ซึ่งหากมองในแง่ของการยกระดับกระบวนการทำงานนอกจากการที่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ พนังงานของเรามีความปลอดภัย และสุขภาพดีขึ้น เพราะสามารถสร้างระบบการทำงานที่ปลอดจากอุบัติเหตุ และลดมนพิษจากการสารเคมีลงได้
โดยภายในปี 2565 เราประสบความสำเร็จในการสร้างความปลอดภัยและอาชีวอนามัยอย่างยั่งยืน ด้วยการดำเนินมาตรการเชิงรุก อาทิเช่น มีการตรวจสอบความปลอดอาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (SHE) เป็นประจำ มีการประเมินกระบวนการที่มีความเสี่ยงอย่างครอบคลุม
รวมทั้งประเมิน และวิเคราะห์ความเสี่ยงในการทำงาน มีการสร้างความตะหนักรู้ให้กับพนักงาน มีโครงการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ไปควบคู่กับการฝึกอบรม และให้ข้อมูลข่าวสารด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการผลิต และเครื่องจักรเพื่อให้เกิดการลดการใช้น้ำ ใช้พลังงาน และทรัพยากรให้น้อยลง
ปัจจุบันโรงงานของเรา ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ผลิตสินค้ากาวภายใต้แบรนด์ชั้นนำ อย่างเช่น Loctile, Technomelt และ Teroson มีพนักงานรวม 150 คน ผลิตสินค้าประเภทกาวเพื่ออุตสาหกรรมมากกว่า 500 รายการ และมีการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่าง และหลากหลาย
เช่น เทคโนโลยีการผลิตกาว ผลิตภัณฑ์กันซึม และเคมีภัณฑ์เพื่อการเตรียมพื้นผิว สำหรับลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโรงงานแห่งนี้ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001, ISO 140001 และ OHSAS 180001
สำหรับ เฮงเค็ล ประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2515 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มีธุรกิจในประเทศไทย 2 ธุรกิจ คือ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาว และกลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์ โดยมีโรงงานทั้งสิ้น 3 แห่งในประเทศไทย คือ โรงงานเทคโนโลยีกาว 2 แห่ง ที่จังหวัดสมุทรปราการและชลบุรี และโรงงานผลิตสินค้าบิวตี้แคร์ อีก 1 แห่ง ที่จังหวัดชลบุรี
วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่