เก็บตกงาน Apple Event งานเปิดตัวอุปกรณ์ของ Apple พบหลายคนตั้งคำถามสำคัญ “ถึงเวลาที่ iPhone ควรใช้พอร์ตหลักจาก Lightning มาเป็น USB-C ได้แล้วหรือยัง?”
เมื่อกลางดึกของวันที่ 14 เข้าสู่วันที่ 15 สิงหาคม 2564 หลายๆ ท่านคงได้รับชมหรือได้ติดตามข่าวงาน “Apple Event” งานเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ๆ ของ Apple กันไปบ้างแล้ว ซึ่ง Apple ได้เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ๆ อย่าง iPad Gen 9, iPad Mini 6, Apple Watch Series 7, iPhone 13, iPhone 13 Mini, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max รวมถึงมีการเปิดตัวบางบริการใหม่ๆ เพิ่มเติมตัว ซึ่งหลายอุปกรณ์ก็ได้รับชมแตกต่างกันไป
อย่างเช่น iPad Mini 6 ก็ได้รับคำชมว่ามีการออกแบบตัว body ที่สวยงามยิ่งขึ้น มีการอัปเกรดสเปกครั้งใหญ่ในรอบหลายปี อีกทั้งยังเปลี่ยนพอร์ตหลักของเครื่องอย่าง Lightning มาเป็น USB-C ตาม iPad รุ่นพี่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หรืออย่าง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max หลายคนชื่นชมโหมดการถ่ายวิดีโอที่ชื่อว่า Cinematic Mode ซึ่งทำให้ถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น ทำให้การถ่ายภาพยนตร์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยใน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มีการอัปเกรดกล้องหลัง (เลนส์หลัก, เลนส์ Ultrawide, เลนส์มีความละเอียด Telophoto) และชิป Apple A15 Bionic เพื่อให้รองรับฟีเจอร์ดังกล่าวด้วย
รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์อย่าง ProMotion และ 120 MHz adaptive refresh rate ให้กับ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max อย่างไรก็ดี iPhone 13, iPhone 13 Mini, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max นั้นก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนพอร์ตจาก Lightning มาเป็น USB-C ตาม iPad รุ่นหลังๆ มาอย่างเช่นเคย
ELEADER สังเกตความเห็นจากโลกออนไลน์พบว่า หลังการเปิดตัวมีกระแสต่ออุปกรณ์ใหม่ๆ จากงาน Apple Event อยู่พอสมควร บางคนถึงกับบอกว่ายังไม่ “ว้าว” กับ new product ในรอบนี้มากนัก เหมือนเป็นการอัปเกรดฟีเจอร์จากอุปกรณ์รุ่นก่อนเสียเป็นส่วนใหญ่ หรือมองว่าเป็นการเปิดตัว “รุ่นขัดตาทัพ” นั่นเอง
ส่วนอีกคำถามที่สำคัญ หลังหลายคนได้รับชม งาน Apple Event เมื่อคืนที่ผ่านมา “ถึงเวลาที่ iPhone ควรใช้พอร์ตหลักเป็น USB-C แล้วหรือยัง?” ซึ่งหลายๆ คนก็เริ่มเรียกร้องให้ Apple ควรรีบเปลี่ยนพอร์ต iPhone มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยการเรียกร้องดังกล่าวมีมาตั้งแต่หลังการเปิดตัว iPhone 12 แล้ว
เหตุผลข้อแรกที่เรามองว่า iPhone ควรเปลี่ยนมาใช้ USB-C คือ USB-C ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรฐาน USB 3.x เป็นพอร์ตการเชื่อมต่อมาตรฐานที่มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลที่สูงขึ้นมากกว่าเดิม โดย USB 2.0 มีความเร็วเพียง 480 Mbps เท่านั้น ขณะที่ USB 3.0 มีความเร็วเพิ่มขึ้นมามากถึง 5 Gbps หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10 เท่าเมื่อเทียบกับ USB 2.0 ส่วน USB 3.1 อยู่ที่ 10 Gbps หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เท่าเมื่อเทียบกับ USB 2.0
เหตุผลข้อต่อมา คือสาย USB-C ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรฐาน USB 3.x มีหัวต่อจากสายรูปแบบเดียว และมีรูปช่องเชื่อมต่อเพียงแบบเดียวแล้ว ลดปัญหาในการต้องเสียเวลาดูก่อนว่าด้านใดเป็นหัว หรือด้านใดเป็นท้าย อีกทั้งไม่ต้องกลัวว่าเราพลิกสายเสียบเพื่อดูว่าเราเสียบสายเข้าไปถูกด้านหรือไม่อีกด้วย ทำให้กระบวนการเชื่อมต่อด้วยสาย USB เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้น
เหตุผลปิดท้าย คงหนีไม่พ้นการไม่ต้องซื้อสายเพิ่มให้วุ่นวาย หากคุณมีอุปกรณ์ Android หรือ iPad รุ่นใหม่ๆ อยู่ก่อนแล้ว เพราะอุปกรณ์ดังกล่าวมีการแถมสาย USB-C มาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้า Apple เปลี่ยนพอร์ตของ iPhone จาก Lighting เป็น USB-C จะช่วยทำให้ Apple เหตุผลในการไม่แจกทั้งอแดปเตอร์และสายชาร์ตมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาหลายคนมองว่าการไม่แถมอแดปเตอร์มากับ iPhone รุ่นใหม่ๆ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่นัก
Jon Porter ผู้สื่อข่าวจากเว็บไซต์ The Verge [1] ในสหรัฐฯ เคยวิจารณ์ Apple หลังการเปิดตัว iPhone 12 ไปได้ไม่กี่วัน เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 โดยระบุว่า “Apple ควรเปลี่ยนให้ iPhone มาใช้ USB-C ถ้า Apple ต้องการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมจริง” โดยมองว่าการเปลี่ยนให้ Apple มาใช้ USB-C เป็นผลดีและรักษาสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้มากกว่า
เมื่อต้นปี 2563 Apple พยายามตอบโต้รัฐบาลกลางของสหภาพยุโรป หรือ EU ที่พยายามเสนอให้สายชาร์ต USB-C เป็นสายชาร์ตมาตรฐานใน EU ด้วยการบอกว่า หาก Apple เปลี่ยนมาใช้สายชาร์ตและพอร์ต USB-C จะทำให้ Lightning กลายเป็นขยะไปโดยทันที ทำให้ Jon ยกตัวอย่างว่า Apple เคยเปลี่ยนจากพอร์ต 30-Pin มาเป็น Lightning แต่ก็ยังขายอแดปเตอร์ 30-Pin to Lightning ได้อีกหลายปี ดังนั้นเมื่อเทียบกับตอนนี้ Apple จึงไม่ต้องกลัวว่าจะขายสาย Lightning ไม่ได้ เพราะยังมีผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าเป็นจำนวนหนึ่งเช่นกัน
อีกข้อมูลที่น่าสนใจ คงหนีไม่พ้นข้อมูลจากเว็บไซต์ AppleInsider [2] เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2564 ที่รายงานว่า Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ชื่อดังที่ติดตามบริษัท Apple อยู่เสมอ ให้ความเห็นว่า Apple จะยังไม่เปลี่ยนมาใช้พอร์ตหลักเป็น USB-C เนื่องจากกังวลว่าค่าความสามารถในการป้องกันน้ำจะลดลงไป แต่ถ้าหาก Apple จะตัดพอร์ตหลัก iPhone ออกไปเลย ก็มีแนวโน้มว่าจะให้ใช้การชาร์ตผ่าน MagSafe แทน แต่อย่างไรก็ตาม MagSafe ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง เช่น ไม่สามารถโอนย้ายข้อมูลได้ หรือไม่สามารถใช้ในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหาทางเทคนิคได้ เป็นต้น ทำให้ตอนนี้ Apple ก็จะยังคงให้ iPhone มีพอร์ต Lightning ต่อไป
แต่อย่างไรก็ดี หลายคนคงรู้กันอยู่แล้วว่า จริงๆ แล้วการยังไม่เปลี่ยนพอร์ตของ iPhone มาเป็น USB-C อาจมองว่าเป็นการดีเลย์เร่าองเทคโนโลยีบางอย่างเพื่อคงความได้เปรียบในทางธุรกิจบางจุดเอาไว้ เช่น
– เพื่อให้คนที่ยังไม่พร้อมซื้อ iPhone อาจรออย่างมีความหวังว่ารุ่นใหม่อาจใส่ USB-C
– อาจยังไม่ใส่ USB-C เพื่อดึงให้คนซื้อรุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจแต่ ไม่มี USB-C ไปก่อน เพื่อให้ยอดการขาย iPhone มีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น
– อาจต้องการให้สายชาร์ตของตัวเองยังขายได้อยู่ เนื่องจากรายได้จากการขายลิขสิทธิ์สายชาร์ต iPhone อาจมีจำนวนเม็ดเงินที่สูงอยู่พอสมควร
– เป็นต้น
น่าจับตาว่าเรื่องราวของพอร์ตหลักสำหรับ iPhone จะลงเอยอย่างไร จะยอมเปลี่ยนจาก Lighting เป็น USB-C หรือไม่ หรือจะตัดพอร์ต Lightning หลักทิ้งไปเลย เพื่อให้เน้นฟังเพลงจาก AirPods (หรือจากหูฟังไร้สายอื่นๆ), ชาร์ตด้วย MagSafe แทนกันหรือไม่ และโอนถ่ายข้อมูลผ่าน Wi-Fi หรือ Bluetooth หรือไม่ งานนี้ต้องตามกันยาวๆ ครับ