ผลสำรวจ เผย นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิก เห็นตรงกัน ผู้นำองค์กรไม่ถึง 2 ใน 10 มี Skill ที่จำเป็นมากพอที่จะนำองค์กรให้รับมือกับความท้าทายในอนาคต…

highlight

  • นักลงทุนราว 2 ใน 3 ระบุว่าผู้นำองค์กรธุรกิจเอกชนในปัจจุบันยัง “ไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอ” ขณะที่มีผู้บริหารเพียง 15% เท่านั้น ที่มีคุณสมบัติของผู้นำที่ดีเยี่ยมสำหรับโลกธุรกิจที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงยังต้องมีทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตในด้านต่าง ๆ อีกด้วย นั่นคือ ADAPT อันได้แก่ การคาดการณ์ (Anticipate), การขับเคลื่อน (Drive), การกระตุ้น (Accelerate), พันธมิตร (Partner) และความเชื่อมั่น (Trust)

ผู้นำองค์กรทั่วโลก ไม่ถึง 2 ใน 10 ที่มี Skill ที่จำเป็น

เมื่อไม่นานมานี้มีการเผยผลการศึกษาเรื่อง ผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง ของ คอร์น เฟอร์รี่ ได้สำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนทั่วโลกจำนวน 795 คน ซึ่งผลปรากฏว่า นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิกมากกว่า 2 ใน 3 หรือประมาณ 69% ระบุว่าผู้นำองค์กรธุรกิจเอกชนในปัจจุบันยัง ไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอ สำหรับธุรกิจในอนาคต

โดยจากผลการวิเคราะห์บ่งชี้ว่า นักลงทุมีความน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้นำองค์กรมีความสำคัญต่อนักลงทุน ซึ่งไม่เฉพาะในเอเชียแปซิฟิก แต่รวมถึงทั่วโลก โดยนักลงทุนกว่า 78ยืนยันว่าผู้บริหารระดับสูงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการตัดสินใจลงทุนของบริษัท

Skill

และนักลงทุนกว่า 83% อ้างว่า ผู้บริหารระดับสูงที่มีความสามารถโดดเด่นยิ่งมีความจำเป็นอย่างมากต่อการสร้างความสำเร็จขององค์กรในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นักลงทุนทั่วโลกต่างเล็งเห็นถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนของการสร้างผู้นำที่พร้อมสำหรับอนาคต

โดยนักลงทุนราว 2 ใน 3 หรือ 66% ให้ความเห็นว่า พวกเขาให้คุณค่ากับวิสัยทัศน์ และการเดินหน้าสู่เป้าหมายในอนาคตมากกว่าประสิทธิภาพการทำงานในอดีต และ 69% ระบุว่าความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงจะยิ่งทำให้ภาวะผู้นำทวีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า

และจากข้อมูลการให้เหตุผลเพิ่มเติมจากนักลงทุน ที่ได้มีการสอบถามข้อมูลอย่างละเอียดจากผู้นำองค์กรธุรกิจจำนวน 150,000 รายทั่วโลก พบว่า มีผู้บริหารเพียง 15% เท่านั้น ที่มีคุณสมบัติของผู้นำที่ดีเยี่ยมสำหรับโลกธุรกิจที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว

สัดส่วนของผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดแต่ละแห่ง

Skill

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ผู้นำส่วนใหญ่ยังไม่มีความสามารถในการตัดสินใจและการดำเนินงานที่ฉับไวอย่างชาญฉลาด รวมไปถึงการกระตุ้นพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งทั้งหมดล้วนจำเป็นต่อการสร้างหลักประกันการอยู่รอดขององค์กรในอนาคต

 

Skill

ดร. มานะ โลหะเทพานนท์ กรรมการผู้จัดการ คอร์น เฟอร์รี่ ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทต่าง ๆ ล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการบ่มเพาะผู้นำแห่งอนาคต ซึ่งในการอุดช่องว่างของภาวะผู้นำนั้น ธุรกิจต่าง ๆ มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องปฏิวัติแนวทางการฝึกอบรม ยกระดับทักษะของผู้จัดการระดับกลางที่มีศักยภาพ

และสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมพนักงานทุกระดับให้กระตือรือร้นต่อการแข่งขันและการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งจากการศึกษาทำให้ทราบว่า เราจำเป็นต้องมีต้นแบบใหม่ของภาวะผู้นำแห่งอนาคต เมื่อพิจารณาต่อยอดจากคุณสมบัติของภาวะผู้นำในปัจจุบันที่ต้องมีความฉับไว ทันต่อโลกยุคดิจิทัล และมีความสามารถที่ครอบคลุม ผู้นำที่ปรับตัวทัน

ต่อการเปลี่ยนแปลงยังต้องมีทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตในด้านต่าง ๆ อีกด้วย นั่นคือ ADAPT อันได้แก่ การคาดการณ์ (Anticipate), การขับเคลื่อน (Drive), การกระตุ้น (Accelerate), พันธมิตร (Partner) และความเชื่อมั่น (Trust)

ด้าน เดนนิส บัลซ์ลีย์ นักปฏิบัติงานฝ่าย Global Solution Leader For Leadership Development ของคอร์น เฟอร์รี่ และผู้ร่วมผลิตเอกสารรายงานฉบับใหม่ The Self-Disruptive Leader กล่าวว่า ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เหล่าผู้นำต่างถูกสอนว่า การควบคุม ความต่อเนื่อง

และการปิดช่องโหว่ให้สมบูรณ์ คือหลักการของภาวะผู้นำทางธุรกิแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบพลิกฝ่ามือที่เกิดขึ้นกับสภาพธุรกิจทั่วโลกทำให้ไม่มีแบบแผนของความสำเร็จที่ตายตัวอีกต่อไป อีกต่อไป งานศึกษาให้ข้อเสนอแนะว่า แรงผลักดันที่ก่อให้เกดการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน

ในด้านเทคโนโลยี โลกาภิวัฒน์ ประชากร และพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน กำลังเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดของคุณสมบัติของผู้นำแบบเดิม ๆ ที่สืบทอดกันมาทั่วโลก

ดร. มานะ โลหะเทพานนท์ กล่าวเสริมว่าในขณะที่เรากำลังก้าวสู่ยุคแห่งเทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน บรรดาคู่แข่งธุรกิจก็มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วกว่าในอดีตเช่นกัน ผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงให้สอดรับกับตลาดได้อย่างต่อเนื่อง 

จึงถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ภายใต้สภาพการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงเช่นปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจทุกรายจะพร้อมสำหรับความท้าทายนี้

ข้อมูลเปรียบเทียบของตลาดต่าง ๆ ในเอเชียแปซิฟิก

Skill

  • ฮ่องกง สิงคโปร์ และอินเดีย มีสัดส่วนผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงสูงสุด โดยมีสัดส่วนสูงสุดทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ด้วยสัดส่วนผู้นำที่พร้อมสำหรับอนาคตสูงถึง 17% ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่มีทักษะในด้าน ADAPT ที่จำเป็นต่อความสำเร็จในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
  • นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิกรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนผู้นำที่พร้อมสำหรับอนาคต มากที่สุดคือที่ประเทศจีน โดยนักลงทุนกว่า 82% กล่าวว่าผู้นำที่มีแนวคิดแบบเก่านั้นไม่เหมาะสมกับโลกอนาคต เช่นเดียวกับนักลงทุนในญี่ปุ่นที่วิตกกังวลมากไม่ต่างกัน (80%) ขณะเดียวกัน นักลงทุนในฮ่องกงและสิงคโปร์วิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะผู้นำในปัจจุบันน้อยที่สุด โดยราวครึ่งหนึ่งกล่าวว่า ผู้นำยังไม่พร้อมสำหรับอนาคต (54% และ 51% ตามลำดับ)
  • นักลงทุนทั่วเอเชียแปซิฟิกเห็นว่า ผู้ที่มีความสามารถถือเป็นปัจจัยสำคัญเบื้องต้น โดยเฉพาะในออสเตรเลีย ซึ่งนักลงทุนกว่า 92% กล่าวว่า ซีอีโอมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่บริษัทจะตัดสินใจลงทุน ส่วนนักลงทุนชาวจีนพิจารณาถึงปัจจัยนี้น้อยที่สุดในภูมิภาค โดยมี 70% ระบุว่าซีอีโอมีความสำคัญมาก
  • นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิกมีความตระหนักร่วมกันเกือบเป็นเอกฉันท์ถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์นี้ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ทั้งในจีน (96%) อินโดนีเซีย (91%) สิงคโปร์ (91%) และอินเดีย (90%) เชื่อว่าองค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายเพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
  • ความต้องการผู้นำที่พร้อมสำหรับอนาคตแทบจะเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับตลาดบางแห่ง โดยนักลงทุนในฮ่องกง (66%) และสิงคโปร์ (69%) มากกว่า 2 ใน 3 ให้คุณค่ากับวิสัยทัศน์และการเดินหน้าสู่เป้าหมายแห่งอนาคตมากกว่าประสิทธิภาพการทำงานในอดีต โดยมากที่สุดคือญี่ปุ่น (78%) มีเพียงอินโดนีเซียที่ต้านกระแสและเป็นตลาดแห่งเดียวในภูมิภาคที่นักลงทุนน้อยกว่าครึ่ง (46%) ให้คุณค่ากับวิสัยทัศน์มากกว่าประสิทธิภาพการทำงานในอดีต
  • นักลงทุนทั่วเอเชียแปซิฟิกตระหนักว่า ความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงจะยิ่งเพิ่มความต้องการผู้นำที่มีประสิทธิภาพในอนาคตอันใกล้ โดยนักลงทุนในมาเลเซียเน้นย้ำเรื่องนี้มากที่สุด กว่า 77% กล่าวว่าความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ภาวะผู้นำทวีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ตามมาด้วยออสเตรเลียซึ่งมีนักลงทุนมากเป็นอันดับ 2  (76%) ที่เน้นย้ำเรื่องนี้ กระนั้น ในภูมิภาคนี้ยังมีตลาดบางแห่งที่สงสัยต่อแนวคิดนี้ โดยนักลงทุนในอินเดียและอินโดนีเซียตระหนักถึงความสำคัญของภาวะผู้นำน้อยที่สุด โดยมีมากกว่าครึ่งเพียงเล็กน้อย (54%) ที่กล่าวว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ
ส่วนขยาย

* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อการวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการและผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่