ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงธุรกิจเท่านั้น แต่รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐด้วยเช่นกันที่ต้องการการสู่ e-Government อีกด้วย…
highlight
- การพัฒนาระบบดิจิทัลของประเทศเอสโตเนียนั้นไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ “เทคโนโลยีเป็นเพียงตัวเสริม” เท่าให้เกิดขึ้นเท่านั้น
- เทคโนโลยีอย่าง Blockchain ทำให้พิสูจน์ความเป็นตัวตน มีความแม่นยำ และปลอมแปลงได้ยาก และสร้างให้เกิด “ประชาธิปไตยดิจิทัล” ได้อย่างแท้จริง และทำให้ประเทศเอสโตเนียเป็นประเทศแรกที่มีการเลือกตั้งทั่วไปที่มีผลผูกพันทางกฎหมายผ่านทางอินเทอร์เน็ต
- การเปลี่ยนแปลงบริการของภาครัฐให้เป็นดิจิทัล นอกจากจะสร้างความสะดวกรวดเร็วในงานบริการของภาครัฐแล้ว ยังเป็นการสร้างให้เกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่ (Startup) ที่ใช้เทคโนโลยี และข้อมูล ที่เชื่อมโยง ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ โดยได้สร้างยูนิคอร์น ถึง 4 แห่งใน 10 ปีที่ผ่านมา
“e-Government” เกิดได้ต้องเริ่มจากเจตจำนง
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ของประเทศไทยนั้น กำลังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อมที่จะเริ่ม และสร้างการรับรู้ในการเปลี่ยนแปลงให้ภาคประชาชน ผ่านร่าง พ.ร.บ. Digital ID ต้องการอำนวยความสะดวกในการทำนิติกรรมสัญญารูปแบบต่าง ๆ
โดยอาศัยกลไกการพิสูจน์ และการยืนยันตัวตนในลักษณะเชื่อมโยง ผ่านการทำงานของระบบตัวกลาง และเป็นถนนเส้นหลัก (Digital Platform) ที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ให้บริการ หรือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนไว้ด้วยกัน แต่ความต้องการเปลี่ยนแปลงนี้ก็จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์จากประเทศที่ประสบความสำเร็จแล้ว
หากเอ่ยถึงประเทศประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงบริการภาครัฐเข้าสู่ระบบดิจิทัล และให้บริการอย่างเต็มรูปแบบก็คงหนีไม่พ้น สาธารณรัฐเอสโตเนีย (Republic of Estonia) หรือ “เอสโตเนีย” (Estonia) ที่เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งเดิม
ไปสู่การเลือกตั้งออนไลน์ผ่าน แพลทฟอร์ม “i-voting” และต่อยอดไปสู่บริการในด้านอื่น ๆ จนทำให้ “เอสโตเนีย” (Estonia) กลายเป็นประเทศที่มีบริการจากภาครัฐความทันสมัยมากที่สุดประเทศหนึ่งจากโลกเลยทีเดียว ซึ่งในการประชุม Digital Government Conference 2019” ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา
Mr.Andrus Kaarelson ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ และการพัฒนาระบบนิเวศบริการสาธารณะทางอิเล็กทรอนิกส์ และแพลตฟอร์มรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของสาธารณรัฐเอสโตเนีย ได้ออกมาเปิดเผยถึงแนวคิดที่สำคัญในการที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงบริการของภาครัฐไปสู่บริการที่รันอยู่บนแพลทฟอร์มดิจิทัล ที่มีความปลอดภัย ไว้อย่างน่าสนใจ
Mr.Andrus Kaarelson Director of State Information System, Republic of Estonia กล่าวว่า การพัฒนาระบบดิจิทัลของประเทศของเขานั้นไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ “เทคโนโลยีเป็นเพียงตัวเสริม” เท่าให้เกิดขึ้นเท่านั้น
ซึ่งการจะสร้างให้เกิดรัฐบาลดิจิทัลได้ สิ่งที่สำคัญคือ จะต้องมีเจตจำนงทางการเมืองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยทั้งภาครัฐ และเอกชนทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างที่ สาธารณรัฐเอสโตเนีย การเริ่มพัฒนาสู่บริการรัฐบาลดิจิทัลก็เริ่มจากความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ และเอกชน
ด้วยเจตจำนงที่จะพัฒนาด้วยกัน ในการพัฒนา และดำเนินงานบริการได้จากส่วนกลาง โดยรวมไปถึงการเพิ่มการประสานงานที่ครบวงจรที่ครอบคลุมถึงเรื่องของการรักษาความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ (Cyber Security) อีกด้วย ซึ่งต้องให้เครดิตกับทางรัฐบาลเอสโตเนียที่ให้การสนับสนุน
ทำให้สามารถริเริ่มโครงการทางดิจิทัลได้หลากหลายประเภท อาทิ บัตรประจำตัวประชาชนแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ให้การเข้าถึงบริการอิเล็กทรอนิกส์ของเอสโตเนียทั้งหมด และระบบ X-Road ที่เชื่อมโยงระบบ และฐานข้อมูลที่แตกต่างกัน จากหลายหน่วยงาน ให้ข้อมูลจากฐานข้อมูลต่าง ๆ สามารถแลกเปลี่ยนสื่อสาร
และเชื่อมโยงกันได้ (Data Exchange Platform) ซึ่ง X-Road ทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยที่เซ็นชื่อและเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งออกทั้งหมดแบบดิจิทัลและรับรองความถูกต้องและบันทึกข้อมูลที่เข้ามาทั้งหมด ระบบดังกล่าวได้ถูกส่งออกไปยังประเทศจากไอซ์แลนด์ไปยังเอกวาดอร์
และเอสโตเนียยังได้สร้างระบบนิเวศถนน X-federated กับฟินแลนด์ซึ่งทำให้ประเทศต่าง ๆ สามารถเผยแพร่ และบริโภคข้ามพรมแดนได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ ระบบ X-Road ของเอสโตเนีย มีความปลอดภัยสูง เพราะฐานข้อมูลต่าง ๆ จะถูกเก็บไว้ตามหน่วยงานต้นสังกัด ไม่มีการรวมศูนย์กลางข้อมูล
ทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยที่เซ็นชื่อและเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งออกทั้งหมดแบบดิจิทัล และรับรองความถูกต้อง และบันทึกข้อมูลที่เข้ามาทั้งหมด ทำให้กระจายความเสี่ยงหากระบบถูกโจมตี อีกทั้งใช้ง่าย และสะดวก เพราะเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่ใช้ภาษาและระบบที่แตกต่างกันได้ โดยไม่ต้องแปลงฐานข้อมูลเดิม
เพราะสามารถเชื่อมโยงสื่อสารกับระบบทุกรูปแบบ และทุก protocol โดยปัจจุบัน ระบบดังกล่าวได้ถูกส่งออกไปยังประเทศจากไอซ์แลนด์ ไปยังเอกวาดอร์ และเอสโตเนีย ยังได้สร้างระบบนิเวศถนน X-federated กับฟินแลนด์ ทำให้ประเทศต่าง ๆ สามารถเผยแพร่ ข้ามพรมแดนได้อย่างปลอดภัย
ใช้ Blockchain เพื่อสร้างบริการสาธารณะที่ดีขึ้นได้
ขณะที่การใช้เทคโนโลยี Blockchain ได้สร้างความยืดหยุ่นอย่างมากต่อการโจมตีทางไซเบอร์และปัญหาทางเทคนิค เพราะไม่มีฮับ ไม่มีฐานข้อมูลกลาง ยก ตัวอย่างเช่นในปี 2550 เมื่อเราประสบกับการโจมตีทางไซเบอร์หนักจากเพื่อนบ้านใหญ่ของเรา แต่เราพบว่าว่ามีบริการเพียง 1% เท่านั้นที่หยุดบริการจากบริการทั้ง 1,000 รายการ
อย่างเช่นกรณีที่เราใช้ เป็นพื้นฐาน ในการเลือกตั้ง เพราะเทคโนโลยีอย่าง Blockchain ทำให้พิสูจน์ความเป็นตัวตน มีความแม่นยำ และปลอมแปลงได้ยาก และสร้างให้เกิด “ประชาธิปไตยดิจิทัล“ ได้อย่างแท้จริง และทำให้ประเทศเอสโตเนียเป็นประเทศแรกที่มีการเลือกตั้งทั่วไปที่มีผลผูกพันทางกฎหมายผ่านทางอินเทอร์เน็ต
นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบการจัดเก็บภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ที่รัฐบาล สะดวกมากขึ้นโดยประชาชนสามารถยื่นได้ภายใน 3 นาที และทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าจะได้รับเงินคืนจากการชำระภาษีอีกด้วย
ส่งเสริมให้เกิด Startup หน้าใหม่มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงบริการของภาครัฐให้เป็นดิจิทัล นอกจากจะสร้างความสะดวกรวดเร็วในงานบริการของภาครัฐแล้ว ยังเป็นการสร้างให้เกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่ (Startup) ที่ใช้เทคโนโลยี และข้อมูล ที่เชื่อมโยง ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ โดยได้สร้างยูนิคอร์น ถึง 4 แห่งใน 10 ปีที่ผ่านมา
อาทิ แอพ Skype, บริษัท เกม Playtech, ผู้ก่อตั้ง บริษัท โอนเงิน Transferwise และแอพ Ride-hailing Taxify เป็นต้น อีกทั้งยังช่วยทำให้ภาคเทคโนโลยีของ เอสโตเนีย เฟื่องฟู และช่วยให้ขึ้นไปอยู่ในลำดับต้น ๆ ของ 20 อันดับแรก ในการจัดอันดับความง่ายในการทำธุรกิจจากธนาคารโลก (World Bank)
และหากมองในองค์รวมปัจจุบัน บริษัทฯ ไอที ได้มีส่วนสร้างการเติบโตมากถึง 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศเอสโตเนีย และทำให้เกิดการจ้างงาน โดยคิดเป็น 4% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดของประเทศ เนื่องจากระบบบริการดิจิทัลของเอสโตเนีย
ทำให้ บริษัท ต่าง ๆ สามารถลงทะเบียนทางธุรกิจออนไลน์ (e-Business) สำหรับธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็ว โดยจากที่ผมได้ลองทดสอบด้วยการจัดตั้ง บริษัทฯ ขึ้น พบว่าใช้เวลาเพียง 20 นาที และส่งเรื่องภาษีเงินได้ประจำปีได้ภายใน 2 นาที เท่านั้น
นอกจากนี้การลงทะเบียนที่สามารถทำได้โดยใช้ “บัตรเอสโตเนีย e-Residency” ทำให้ผู้ประกอบการชาวต่างชาติที่ต้องการจัดตั้งธุรกิจในประเทศสามารถเริ่มต้นได้รวดเร็วมากขึ้น เนื่องจากใช้ฐานข้อมูล และลายนิ้ว สามารถเชื่อมโยงผ่านระบบได้
และน่าจะทำให้กรณีของเรื่อง Brexit กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ใน เอสโตเนีย เพราะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้กลับเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรปได้อีกครั้ง
*หากอยากรู้ว่า NDID จะเปลี่ยนแปลงบริการภาครัฐให้ก้าวสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลได้ขนาดไหน สามารถรอติดตามข้อมูลดีได้จากงาน Thailand DIgital ID Symposium 2019 ในช่วงเดือน มิถุนายน ที่จะถึงนี้
ที่มาของข้อมูล : www.computerworlduk.com
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว)
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่