Hybrid Cloud

ผลสำรวจ ชี้ 45% ขององค์กรเหล่านี้มีการนำคลาวด์แพลทฟอร์ม สองแพลทฟอร์มหรือมากกว่ามาใช้งาน แต่องค์กรส่วนหนึ่งยังลังเลที่จะนำ Hybrid Cloud ไปใช้งาน เนื่องจากยังมีความเชื่อแบบเดิม ๆ ซึ่งถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนความเชื่อเหล่านั้น…

highlight

  • ระบบ ไฮบริดคลาวด์ ช่วยให้องค์กรสามารถเลือกประเภทคลาวด์ที่เหมาะสมที่สุดให้กับแต่ละเวิร์คโหลด เช่นเดียวกับที่สามารถเคลื่อนย้ายเวิร์คโหลดไปในสภาพแวดล้อมไอทีต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็น
  • องค์กรส่วนหนึ่งยังคงลังเลที่จะนำ ไฮบริดคลาวด์ ไปใช้งาน ด้วยความเชื่อเดิมที่มีมานาน 4 ประการ ได้แก่ อาจทำให้องค์กรสูญเสียการควบคุม และการมองเห็น และรับรู้เกี่ยวกับระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีขององค์กร, อาจนำมาซึ่งความปวดหัวในเรื่องความปลอดภัย, ยิ่งองค์กรใช้มากเท่าใด ก็จะเกิดช่องโหว่ด้านซัพพลายเชนมากขึ้นเท่านั้น และทำให้เกิดความท้าทายเกี่ยวกับการปฎิบัติตามกฎข้อบังคับ

ถึงเวลาเปลี่ยนความเชื่อเรื่อง Hybrid Cloud แบบเดิมๆ

ไฮบริดคลาวด์  ได้รับการยอมรับให้เป็นบรรทัดฐานด้านไอทีขององค์กรธุรกิจต่าง ๆ โดยจากรายงานการสำรวจ Red Hat Global Customer Tech Outlook 2019 ฉบับล่าสุด ระบุว่า 30% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจมีกลยุทธ์ในการใช้ ไฮบริดคลาวด์ 

และ 45% ขององค์กรเหล่านี้มีการนำคลาวด์แพลทฟอร์ม 2 แพลทฟอร์ม หรือมากกว่ามาใช้งาน ซึ่ง ไฮบริดคลาวด์  ช่วยให้องค์กรมีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ และคงความเป็นผู้นำในการแข่งขันในสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจที่มีความผันผวนสูด้วยการให้ความยืดหยุ่และความรวดเร็วที่จำเป็นต้องใช้

ในการต่อกรกับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างที่ทราบกันดีว่าไฮบริดคลาวด์ เป็นการผสมผสานคุณสมบัติของ พับลิคคลาวด์ และ ไพรเวทคลาวด์ ไว้ด้วยกัน (เช่น ระบบปิด หรือ รูปแบบการจัดการไอทีแบบ managed/hosted) ที่เชื่อมโยงและบริหารจัดการด้วยโซลูชั่นการบริหารหนึ่งเดียว

ระบบ ไฮบริดคลาวด์ ช่วยให้องค์กรสามารถเลือกประเภทคลาวด์ที่เหมาะสมที่สุดให้กับแต่ละเวิร์คโหลด เช่นเดียวกับที่สามารถเคลื่อนย้ายเวิร์คโหลดไปในสภาพแวดล้อมไอทีต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็น เช่น ร้านค้าปลีกสามารถโฮสต์เว็บไซต์ด้านอีคอมเมิร์ซของตนบน พับลิคคลาวด์  แต่กระบวนการชำระเงินใช้ผ่าน ไพรเวทคลาวด์ 

เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวให้กับข้อมูลของลูกค้าได้แน่นหนาขึ้น และเพื่อให้ตอบโจทย์การต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ ซึ่งแม้ว่า ไฮบริดคลาวด์  จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่น แต่องค์กรส่วนหนึ่งยังคงลังเลที่จะนำ ไฮบริดคลาวด์  ไปใช้งาน ด้วยความเชื่อเดิมที่มีมานาน 4 ประการดังนี้ 

Hybrid Cloud

ไฮบริดคลาวด์  อาจทำให้องค์กรสูญเสียการควบคุม และการมองเห็นและรับรู้เกี่ยวกับระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีขององค์กร

เนื่องจาก ไฮบริดคลาวด์  เกิดจากระบบไอทีที่มีมากกว่าหนึ่งสภาวะ จึงเกิดความเชื่อที่ว่า อาจเป็นเรื่องยากที่องค์กรต่างๆ จะมองเห็น และรับรู้ถึงความเป็นไปของโครงสร้างพื้นฐานไอทีทั้งหมดได้อย่างครอบคลุม การขาดความสามารถในการเห็น และรับรู้นี้ เป็นความท้าทายที่ทำให้องค์กรต่าง ๆ เฝ้าติดตามตรวจสอบ และควบคุมระบบของตน

ให้ปลอดภัย และเป็นไปตามกฎระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิ่งเหล่านี้ต้องดำเนินการด้วยการลงมือทำเอง และไม่เป็นอัตโนมัติ ซึ่งความเชื่อนี้จะถูกลบล้างได้ หากองค์กรมั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานของระบบ ไฮบริดคลาวด์  ของตนมีศักยภาพในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ด้านไอที 

ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์โครงสร้างพื้นฐานไอทีในเชิงลึกและต่อเนื่อง จะช่วยให้องค์กรสามารถทำงานเชิงรุกเพื่อแยกแยะ และเพื่อให้ได้รู้ว่าจุดใดเป็นช่องโหว่ที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อระบบป้องกันความปลอดภัย ประสิทธิภาพ

และความเสถียรของระบบ ไฮบริดคลาวด์ ขององค์กร ซึ่งเป็นการป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหา และทำให้องค์กรอยู่ในสถานะที่ล้ำหน้าสถานการณ์เหล่านี้อยู่ตลอดเวลา

Hybrid Cloud

การใช้ ไฮบริดคลาวด์ อาจนำมาซึ่งความปวดหัวในเรื่องความปลอดภัย

ระบบรักษาความปลอดภัยด้านไอทีแต่เดิม ให้ความสำคัญกับ การป้องกัน การตรวจสอบ บำรุงรักษา และกำหนดหลักการต่างๆ เพื่อพิทักษ์อาณาเขตของดาต้าเซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตาม ขอบเขตการป้องกันนั้นยังมีประสิทธิภาพน้อยในแง่ของการรักษาความปลอดภัยบน ไฮบริดคลาวด์  การเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมคลาวด์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

เหมือนการเปิดประตูหลาย ๆ บานให้กับผู้จู่โจม และเป็นช่องทางให้การป้องกันแบบเดิมๆ ใช้ไม่ได้ผล นอกจากนี้ยังต้องใช้เวลาในการแพชหรือคอนฟิกระบบต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมที่ผสมผสานกันของไฮบริดคลาวด์ มากขึ้น ความท้าทายอีกประการหนึ่ง คือความต้องการด้านนโยบาย และแผนด้านความปลอดภัยต่าง ๆ ไม่ได้จบสิ้นลง

เมื่อเลิกใช้งานแอปพลิเคชั่นหนึ่งๆ และเมื่อจับคู่ความท้าทายนี้เข้ากับแอปพลิเคชั่นที่มีอายุการใช้งานสั้นและ “ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้” จำนวนมากที่มีบทบาทมากขึ้นบนสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ แล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่า การคอยมอนิเตอร์เพื่อที่จะทำคอนฟิกูเรชั่น และปรับแก้ให้ถูกต้องด้วยตนเองเมื่อจำเป็น

จะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีอีกต่อไป อย่างไรก็ตามความท้าทายเหล่านี้แก้ไขได้ด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม รวมถึงการนำระบบอัตโนมัติมาใช้เพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานไอที การทำแพชชิ่งและปรับแก้แบบอัตโนมัติ ช่วยให้องค์กรรับมือ และควบคุมความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่สำคัญได้อย่างทันท่วงที

Hybrid Cloud

ยิ่งองค์กรใช้ ไฮบริดคลาวด์ มากเท่าใด ก็จะเกิดช่องโหว่ด้านซัพพลายเชนมากขึ้นเท่านั้น

เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า “ความแข็งแรงของโซ่ทั้งเส้น ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของจุดเชื่อมข้อต่อที่อ่อนแอที่สุด” ความปลอดภัยขององค์กรก็เช่นกัน จะมีความแข็งแกร่งเท่าใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นด้านความปลอดภัย ณ จุดเชื่อมต่อที่เป็นจุดอ่อนที่สุด 

เนื่องจากสภาพแวดล้อม ไฮบริดคลาวด์ อาจประกอบด้วยแพลทฟอร์มคลาวด์จากผู้ขายหลายราย จึงมีความท้าทายที่จะต้องมั่นใจให้ได้ว่าโซลูชั่นเหล่านั้นได้รับการสร้างสรรค์มาโดยคำนึงถึงความปลอดภัย และผู้ขายเหล่านั้นจะยังคงอัปเดทและแพชโซลูชั่นนั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง

เพื่อขจัดความกังวลนี้ องค์กรควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไฮบริดคลาวด์ ที่จะนำมาใช้งานมีเครื่องมือที่ใช้ในการควบคุม ที่เอื้อให้ตนเข้าใจถึงความเสี่ยงด้านไอทีที่ตนกำลังเผชิญอยู่ได้อย่างรวดเร็ว ควรมีการระบุปัญหาสำคัญ ๆ ตามลำดับด้วยการทำการประเมินความเสี่ยง และแสดงให้เห็นถึงความน่าจะเป็น และผลกระทบหลักของแต่ละปัญหา

เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถมุ่งเน้นไปที่ปัญหาที่จะลดผลกระทบของความเสี่ยงได้มากที่สุด ควรมีการเสนอโซลูชั่นที่เหมาะกับองค์กรนั้น ๆ เป็นขั้นตอน เพื่อช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถจัดการความเสี่ยงนั้น ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจ เพื่อหลีกเลี่ยงการล่มของระบบ

Hybrid Cloud

ไฮบริดคลาวด์ จะทำให้เกิดความท้าทายเกี่ยวกับการปฎิบัติตามกฎข้อบังคับ

แม้ว่าองค์กรส่วนใหญ่วันนี้จะมีการใช้เทคโนโลยีคลาวด์กันในระดับหนึ่ง องค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีกฎข้อบังคับที่เข้มงวด ยังจำเป็นที่จะต้องมั่นใจว่าสภาพแวดล้อมด้านไอทีของตนเป็นไปตามเกณฑ์พื้นฐานด้านความปลอดภัยด้านภาษีหรือระเบียบต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับและการตรวจสอบบัญชี

การปรับเปลี่ยนคอนฟิกูเรชั่นด้วยตนเองอาจใช้เวลานานมาก เป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ระบบอาจตรวจหาการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นไม่พบ จึงไม่ได้รับการปกป้อง ซึ่งอาจทำให้องค์กรไม่ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบด้านความปลอดภัย ดังนั้น บริษัทต่างๆ ควรขยายศักยภาพ ไฮบริดคลาวด์ ของตนด้วยเครื่องมือ

ที่สามารถช่วยให้มองเห็นภาพโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่มีความหลากหลายจากจุดศูนย์กลางจุดเดียว ผ่านเครื่องมือที่สามารถสแกนสภาพแวดล้อมไอทีได้อย่างอัตโนมัติเพื่อการคอนฟิกูเรชั่น และการแก้ไข การใช้ ไฮบริดคลาวด์ อาจดูเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่น เพราะเสมือนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงและความซับซ้อนให้กับโครงสร้างระบบไอที

อย่างไรก็ตาม องค์กรสามารถก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ได้ โดยใช้แนวทางการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบเชิงรุกและรุกอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่คอยให้ปัญหาเกิดแล้วจึงหาทางแก้ไข แนวทางหนึ่งที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ คือ ต้องมั่นใจได้ว่ารากฐานของระบบ ไฮบริดคลาวด์ ขององค์กรจะช่วยให้องค์กรมีองค์ความรู้

เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานไอทีของตน เพื่อคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและชี้ให้เห็นความเสี่ยงด้านเทคนิคต่างๆ ที่มีอยู่ได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ยังต้องมีขั้นตอนการแก้ไขปัญหาที่เฉพาะเจาะจงกับความท้าทายแต่ละอย่างของแต่ละองค์กร ผ่านการใช้โซลูชั่นที่ทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาการคอนฟิกูเรชั่นและปัญหาสำคัญต่าง ๆ

ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ด้วยศักยภาพเหล่านี้ องค์กรสามารถลดเวลาที่ใช้ในการบริหารจัดการให้การทำธุรกิจดำเนินอย่างต่อเนื่อง และคงความสำเร็จทางธุรกิจด้วย ไฮบริดคลาวด์ โดยการพัฒนา และนำเสนอนวัตกรรมบนแพลทฟอร์มที่มีความปลอดภัยและยืดหยุ่น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายต่างๆ ทางธุรกิจต่อไป

ส่วนขยาย

* บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ 
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
**** บทความโดย : เบรนแดน ปาเจต์ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการ
                 กลุ่มผลิตภัณฑ์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เร้ดแฮท

สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่