จริงหรือไม่..!! การดำเนินธุรกิจและการมอบคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้า ขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซ (Open source) ในอนาคตขององค์กร…
highlight
- ภายในปี 2562 เป็นที่ชัดเจนว่าองค์กรต่างๆ ลงทุนในซอฟต์แวร์เพิ่มมากขึ้
นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้ างความเปลี่ยนแปลง แทนที่จะถูกมองว่าเป็นภาระที่ก่ อให้เกิดค่าใช้จ่ายต่อองค์กร และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สระดั บองค์กรจะกลายเป็นองค์ประกอบหลั กที่อยู่ตรงจุดศูนย์ กลางในโลกของซอฟต์แวร์ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ไม้ประดับ
จริงหรือไม่..!! การดำเนินธุรกิจในอนาคต ขึ้นอยู่กับ ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซ
ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แทรกซึมเข้าสู่แวดวงเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งผู้บริโภคก็อาจใช้งานเทคโนโลยีซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สในหลายกรณีโดยไม่รู้ตัว เช่น การจองเที่ยวบิน การถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม หรือการโทรศัพท์
ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องใหม่ เมื่อเราพูดถึงซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์แทบจะไม่มีรายการใดไม่เกี่ยวเนื่องกับซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สเลย ล่าสุด เร้ดแฮท เผลผลการสำรวจความคิดเห็น The State of Enterprise Open Source: A Red Hat Report พบว่า ปัจจุบันโอเพ่นซอร์ส (Open source) ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น
กอร์ดอน ฮาฟฟ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านคลาวด์, เร้ดแฮท อิงค์ เปิดเผยว่า วันนี้องค์กรต่าง ๆ คิดว่าโอเพ่นซอร์สเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบไอทีหรือว่าองค์กรเหล่านั้นได้ทำการพัฒนาโอเพ่นซอร์สในลักษณะที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยองค์กร ส่วนใหญ่มองว่าโอเพ่นซอร์สมีความสำคัญเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของค์กรหรือไม่ เราทราบว่ามีการใช้โอเพ่นซอร์สอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน
เช่น มีการใช้ลีนุกซ์ (Linux) แทนที่ยูนิกซ์ (Unix) ที่เป็นระบบปิด แต่ไม่เกี่ยวข้องกับ ความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วองค์กรธุรกิจจำเป็นต้องใช้ระบบอีเมล และระบบปฏิทินในการดำเนินงาน แต่ทุกคนก็ไม่ได้คิดว่าระบบดังกล่าวก็เป็นเครื่องมือหลักที่จะช่วยให้บริษัทเอาชนะคู่แข่งได้
แต่ในกรณีของโอเพ่นซอร์สระดับองค์กร ผู้บริหารฝ่ายไอที 950 คนจากทั่วโลกที่ตอบแบบสอบถามลงความเห็นว่า โอเพ่นซอร์สมีความสำคัญอย่างมากต่อกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานโดยรวมขององค์กร โดยผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 69% ระบุว่าโอเพ่นซอร์สมีความสำคัญอย่างมากหรือมากที่สุด
และมีเพียง 1% ที่คิดว่าไม่มีความสำคัญเลย ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าประหลาดใจที่ผู้บริหารฝ่ายไอทีเหล่านี้ให้ความสำคัญกับการใช้งานโอเพ่นซอร์สขึ้นมาอีกระดับ และคาดว่าจะดำเนินการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ หรือ 68% ใช้งานโอเพ่นซอร์สระดับองค์กรเพิ่มมากขึ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
และกว่า 59% คาดว่าจะยังคงทำเช่นนั้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่คาดว่าจะลดการใช้งานอยู่ในระดับตัวเลขหนึ่งหลักเท่านั้น
โอเพ่นซอร์ส ส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการใช้โอเพ่นซอร์สทดแทนซอฟต์แวร์แบบปิดอย่างกว้างขวาง เช่นการเปลี่ยนจากระบบยูนิกซ์ไปสู่ระบบลีนุกซ์เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความยืดหยุ่น (มีตัวเลือกฮาร์ดแวร์และผู้ขายที่หลากหลาย) อย่างไรก็ตาม โอเพ่นซอร์สระดับองค์กร
ในปัจจุบันสามารถใช้แทนที่ซอฟต์แวร์แบบปิดเพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างได้หลากหลาย ตั้งแต่การทำเวอร์ชวลไลเซชั่น ไปจนถึงส่งข้อความ และแอปพลิเคชั่นเซิร์ฟเวอร์ นอกจากนี้ โอเพ่นซอร์สยังช่วยกำหนดและสร้างแนวทางใหม่ๆ ให้กับโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งแต่การสร้างคอนเทนเนอร์ ไปจนถึงสตอเรจที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์ และระบบเครือข่าย
เมื่อรวมสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ไว้ภายใต้หัวข้อ “การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัย“ เราพบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 53% กำลังใช้โอเพ่นซอร์สระดับองค์กรเพื่อจุดประสงค์นี้ ซึ่งในสหราชอาณาจักร ตัวเลขดังกล่าวจะน้อยกว่านี้เล็กน้อย และในละตินอเมริกา จะสูงกว่านี้เล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สไม่ได้เป็นเพียงแค่การนำโครงสร้างพื้นฐานรุ่นเก่าออก และติดตั้งรุ่นที่ทันสมัยกว่า และ 42% ระบุว่าองค์กรของตนกำลังใช้โอเพ่นซอร์สเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation)
ซึ่งหมายถึงการปรับปรุงองค์กรเพื่อรองรับการปรับใช้เทคโนโลยีสารสนเทศควบคู่กันไป หรือแม้กระทั่งใช้แทนที่ระบบโรงงานแบบเก่าหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ติดตั้งไว้ในทางกายภาพ ซึ่งความแตกต่างระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัยกับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลนับว่ามีความสำคัญ
เพราะอาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างการดำเนินธุรกิจตามปกติอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกับการสร้างโอกาสใหม่ ๆ บริการใหม่ ๆ และคุณประโยชน์ที่แปลกใหม่ให้กับลูกค้า แน่นอนว่าการลดค่าใช้จ่ายอาจช่วยสร้างการเปลี่ยนผ่านในรูปแบบหนึ่ง
เช่น การบริการตนเองในรูปแบบต่าง ๆ แต่ยังมีความแตกต่างขั้นพื้นฐานของวิธีคิดระหว่างการประหยัดค่าใช้จ่ายกับการสำรวจหาโอกาส และความเป็นไปได้
คุณลักษณะต่าง ๆ โอเพ่นซอร์ส เช่น ความปลอดภัย และการสนับสนุนด้านเทคนิคและอื่นๆ มีความสำคัญต่อผู้ซื้อผลิตภัณฑ์โอเพ่นซอร์สระดับองค์กร ซึ่งจะว่าไปแล้วก็สำคัญทั้งต่อซอฟต์แวร์ระดับองค์กรและซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส
อย่างไรก็ดี พบว่า 29% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “การเข้าถึงนวัตกรรมล่าสุด“ เป็นหนึ่งในสามเหตุผลที่สำคัญที่สุดในการใช้โอเพ่นซอร์สระดับองค์กร ประเด็นนี้สำคัญ เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความแตกต่างโดยพื้นฐานระหว่างโอเพ่นซอร์สกับซอฟต์แวร์แบบปิด แน่นอนว่าซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สระดับองค์กร
อาจได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี และมีความปลอดภัยและเสถียรภาพมากกว่า แต่สิ่งเดียวกันนี้ก็อาจเป็นคุณสมบัติของซอฟต์แวร์แบบปิดจากผู้ผลิตหลายรายด้วยเช่นกัน หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของโอเพ่นซอร์สก็คือ จะช่วยให้บุคคล และองค์กรสามารถประสานงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
โดยมีปัญหาด้านโครงสร้างและอุปสรรคอื่นๆ น้อยที่สุด ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่รองรับการพัฒนามีความแตกต่างโดยพื้นฐานจากซอฟต์แวร์แบบปิด ดังจะเห็นได้ว่าซอฟต์แวร์ประเภทใหม่ๆ จำนวนมากได้รับอิทธิพลจากเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), โครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์
และแพลตฟอร์มแบบคลาวด์เนทีฟ หรืออาจกล่าวได้ว่า นวัตกรรมจำนวนมากในโลกของซอฟต์แวร์ในปัจจุบันเกิดขึ้นได้ด้วยโอเพ่นซอร์ส และองค์กรที่พึ่งพาซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจก็ต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมดังกล่าว
ส่วนขยาย
* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อการวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการและผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่