แนวโน้มทั่วโลกของตลาด ดาต้าเซ็นเตอร์ ยังถือว่ามีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการเติบโตของการใช้สตอเรจ ข้อมูลบนโมบายล์ วิดีโอ คอนเท็นต์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และการขยายตัวของข้อมูลที่เพิ่มขี้น
ในช่วงหลังจากนี้อีก 3 ปี คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสมาร์ทโฟน ทำให้หลายองค์กรธุรกิจเริ่มที่มองหาตัวช่วยในจากเก็บรวบร่วมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ที่จะสามารถนำมาวิเคราะห์ในการวางกลยุทธ์ในการทำการตลาด ทำให้ปัจจุบันเริ่มเห็นมีการก่อสร้าง ดาต้าเซ็นเตอร์ แห่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในภูมิภาคต่างๆของโลก
แล้วตลาด Data Center ในอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น ทาง ELEADER ได้สอบถามไปยัง บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด.(TCC Technology) บริษัท ในเครือ TCC Group หนึ่งในกลุ่มบริษัทฯ ที่ให้บริการด้านโซลูชั่น และโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศ
และแพลตฟอร์มดิจิตอลต่างๆผ่าน คลาวด์ (Cloud) ระบบทรัพยากรทางธุกิจ (ERP) รวมถึงการทำธุรกรรมผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) รวมถึงศูนย์ข้อมูล ชั้นนำของโลก ซึ่งให้บริการอยู่ภายในประเทศไทย ซึ่งทาง ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มของดาต้าเซ็นเตอร์ ในช่วงที่ผ่านมา และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไว้อย่างน่าสนใจ
ดาต้าเซ็นเตอร์ ในปี 2017 และปี 2018 : คือความคล่องตัว และเสถียรภาพ
วรดิษฐ์ วิญญรัตน์ กรรมการบริหารและรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด (ทีซีซีเทค) กล่าวว่า ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจ Data Center ในปี 2560 มีทิศทางที่ดีสอดคล้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลของ *IDC ที่คาดการณ์ว่า ในปี 2560 ตลาด Data Center ในประเทศไทยจะมีการเติบโตกว่า 19 % และในปี 2561 การเติบโตอยู่ที่ประมาณ 18% บวกกับ
ความต้องการระบบไอทีใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นว่าผู้ประกอบการทั้งระดับเอ็นเตอร์ไพรส์ ธุรกิจขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ ต่างให้ความสำคัญกับการใช้งานคลาวด์ และมองหาบริการจากผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีชื่อเสียง ด้วยเหตุผลทั้งด้าน Hardware ที่รองรับงานระดับองค์กรในลักษณะการทำ High Availability
ที่มาพร้อมบริการ Managed Services หรือความคล่องตัวและเสถียรภาพที่เกิดจาก Software ระดับพรีเมี่ยม รวมถึงคุณภาพการให้บริการที่มีความเสถียรผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ที่สำคัญระบบคลาวด์ยังตอบโจทย์เรื่องของรูปแบบการคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง (Pay-As-You-Go) โดยสามารถจ่ายค่าบริการตามจริงต่ำสุดเป็นรายชั่วโมง
และมีบริการให้คำแนะนำจากวิศวกรมืออาชีพตลอด 24 ชั่วโมง ส่งผลต่อการลงทุนขององค์กรที่จะมีความคล่องตัวสูงและความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ คิดค้นนวัตกรรมและบริการใหม่ๆ ซึ่งด้วยคุณสมบัติในมิติต่างๆ ของคลาวด์ส่งผลให้ขนาด Data Center ภายในองค์กรมีขนาดเล็กลง
และหันมาใช้บริการ Data Center Provider จากภายนอกองค์กรแทน ทั้งนี้เรื่องของภัยคุกคามทางโลกอินเทอร์เน็ต (Cybersecurity) ล้วนมีส่วนกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์ (Demand) ด้านบริการดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจการเงินและการธนาคาร (Money & Banking) ที่ต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพงานไอที
ควบคู่กับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางระบบสารสนเทศ ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งหากเปรียบองค์กรเป็นเหมือนบ้านที่มีข้อมูลหรือทรัพย์สินจำนวนมาก สิ่งที่เจ้าของบ้านควรให้ความสำคัญคือเรื่องของความปลอดภัยในการดูแลปกป้องทรัพย์สินเหล่านั้น ผ่านการเลือกเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ธุรกิจ
การคัดเลือกบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ หรือแม้แต่ขั้นตอนการจัดเตรียมอุปกรณ์ที่สำคัญต่างๆ สิ่งเหล่านั้นมาพร้อมกับเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ลดหลั่นไปตามขนาดของบ้านแต่ละหลัง ทำให้หลายองค์กรเลือกใช้บริการจาก Data Center Provider ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (Physical Infrastructure) ด้านความปลอดภัยบนพื้นฐานไอพีในการรับส่งข้อมูล
การอัพโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ต่างๆ (Physical Security IP Surveillance for Data Center) ซึ่งในส่วนของทีซีซีเทค เรามีบริการดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานสากลที่พร้อมด้วยระบบไฟฟ้า ระบบทำความเย็น ระบบความปลอดภัย รวมทั้งระบบสำคัญอื่นๆ และเป็นผู้บริหารจัดการระบบไอทีแทนกลุ่มลูกค้า โดยไม่ต้องกังวลในการบริหารค่าใช้จ่ายและการดูแล
ยิ่งไปกว่านี้เรายังมีแผนที่จะพัฒนาในด้านระบบความปลอดภัยทางกายภาพให้เทียบเท่าแนวโน้มการพัฒนาระดับสากล อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศสิงคโปร์ซึ่งครอบคลุมถึงแนวทางการรับมือกับภัยก่อการร้ายหรือป้องกันภัยจากการก่อเหตุจลาจล ฯลฯ อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาด Data Center คึกคักคือ
ตัวเลขผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตและ Social media ที่เก็บโดย **We Are Social ดิจิทัลเอเจนซี่ชื่อดังจากสิงค์โปร ได้ทำการสรุปข้อมูลทั้งหมดจาก 238 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยประเด็นที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกับการเติบโตของอุตสาหกรรม Data Center คือ การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของคนไทยในปี 2560
ซึ่งมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึง 21% และประเทศไทยมีการใช้งาน Social Media มากเป็นอันดับ 7 ของโลก ด้วยสัดส่วน 67% จากประชากรทั้งหมดในประเทศ ทั้งนี้สถิติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นจำนวนข้อมูลมหาศาลที่วิ่งอยู่บนเครือข่ายต่างๆ สะท้อนประโยชน์ในหลายๆ มิติ
โดยเฉพาะในเชิงธุรกิจเมื่อข้อมูลโต ธุรกิจโต ระบบฐานข้อมูล หรือ Database จึงกลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสำหรับองค์กร ที่ต้องให้ความสำคัญ คำนึงถึงการดูแลรักษา การจัดเก็บ รวมถึงมองหากลยุทธ์ในการเพิ่มมูลค่าและโอกาสทองทางธุรกิจ จากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้หลายองค์กรหันมาใช้บริการจาก Data Center Provider
โดยเฉพาะ ดาต้าเซ็นเตอร์ ระดับพรีเมี่ยม ตั้งอยู่ในพื้นที่แบบกลยุทธ์ (Strategic locations) อย่างเช่นศูนย์ข้อมูลทั้ง 3 แห่งของทีซีซีเทค ที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไป อย่าง Empire Tower Data Center (ETDC) ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร Bangna Data Center (BNDC) ที่ตั้งอยู่บริเวณกรุงเทพมหานครชั้นนอกใกล้กับท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ
และ Data Center at Amata Nakorn (AMDC) ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี นอกจากศูนย์ข้อมูลทั้ง 3 แห่งแล้วทีซีซีเทคยังให้บริการศูนย์ข้อมูลระหว่างประเทศผ่านทางพันธมิตรกลุ่ม Asia Data Center Alliance (ADCA) ใน 5 ประเทศได้แก่ ประเทศไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และเวียดนาม
TCCTech ในช่วงที่ผ่านมา และเป้าหมายในปี 2017
สำหรับเราในภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ของทีซีซีเทค มีทิศทางบวกสอดรับกับแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรม Data Center และบริการคลาวด์ภายในประเทศ และในส่วนของแผนธุรกิจที่มุ่งขยายการลงทุนจำนวนกว่า 300 ล้านบาท ณ ศูนย์ Data Center ผสานบริการคลาวด์ (Cloud-Enabled Data Center) ที่บางนา
บรรลุผลสำเร็จตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเปิดให้บริการเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจำนวน 200 ตู้ (racks) กำลังไฟฟ้า เพิ่มอีก 800 กิโลโวลต์แอมแปร์ (kVA) พร้อมให้บริการกลุ่มลูกค้าทั้งบริษัทชั้นนำในประเทศ และบริษัมข้ามชาติ นอกจากนี้เรายังตั้งเป้าผลักดันแผนพัฒนาศักยภาพในการให้บริการที่รองรับความต้องการใหม่ๆ (New requirement)
ที่เกิดจากอุปสงค์ (Demand) ด้าน High Density Server และความต้องการการเพิ่มประสิทธิภาพ (Capability) ให้สามารถรองรับความต้องการการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจธนาคาร และยังมีในส่วนของแผนพัฒนาบุคลากรเพราะถึงแม้ทีซีซีเทคจะดำเนินธุรกิจด้าน Data Center รวมระยะเวลากว่า 15 ปี
แต่เรามองว่าสิ่งสำคัญที่นอกเหนือจากประสบการณ์ คือการสนับสนุนให้พนักงานมีความรู้ความสามารถที่ทันต่อยุค ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์เทคโนโลยี เข้าใจแนวคิดและกระบวนการทำงานของบริการจากพันธมิตรทางเทคโนโลยีระดับโลก (Global Technology Partner) ที่สำคัญต้องทันต่อความต้องการของลูกค้าในทุกระดับ
จนสามารถส่งมอบบริการได้ในลักษณะ Holistic Proposition คือเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงประเด็นหลักของประเภทธุรกิจ (Core Business) เข้าใจ Pain Point จนนำไปสู่การแก้ไขข้อจำกัดและสร้าง Creativity ที่ตอบโจทย์แบบครบวงจรให้กับลูกค้า
และด้วยปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่เน้นการให้บริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ (Premium Customer Service Support) บวกกับบริการโครงสร้างพื้นฐานด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาตรฐานระดับสากล และการให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชั่วโมงพร้อมการติดตามผลตั้งแต่ต้นจนจบ
ทำให้ บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด (ทีซีซีเทค) ได้รับความไว้ใจอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าทั้งในและบริษัทข้ามชาติ โดยในปี 2560 ทางทีซีซีเทค ได้เน้นย้ำแนวคิดการดำเนินธุรกิจภายใต้สโลแกน “Technology Partner You Can Trust” ซึ่งให้ความสำคัญกับการออกแบบ และพัฒนา Data Center และการเชื่อมต่อเพื่อบริการที่เหนือระดับสำหรับลูกค้า
มุ่งพัฒนาศักยภาพ ความรู้ และความชำนาญของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทำให้บุคลากรของบริษัทฯ ผ่านการทดสอบมาตรฐานด้านการออกแบบ Data Center (Accredited Tier Designer หรือ ATD) และระบบปฏิบัติการของ Data Center (Accredited Tier Specialist หรือ ATS) จากสถาบัน Uptime Institute
สะท้อนให้เห็นถึงบริการของทีซีซีเทคที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความชำนาญในการบริหารจัดการ Data Center และโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีอย่างครบวงจร โดยล่าสุดบุคลากรของบริษัทฯ ได้ผ่านการรับรอง Accredited Operations Specialist (AOS) ด้านการบริหารจัดการ และดูแลระบบปฎิบัติการทรัพยากรอุปกรณ์หลักภายใน Data Center
ยุทธศาสตร์ แผนงาน และกลยุทธ์
บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสร้างความแตกต่างในการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานไอที จะเห็นได้จากการร่วมทุนกับบริษัทอินเทอร์เน็ตอินิชิเอทีฟ เจแปน (ไอไอเจ) หนึ่งในผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและคลาวด์สำหรับองค์กร (Enterprise Cloud) รายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งบริษัท ลีพ โซลูชั่นส์ เอเชีย (Leap Solutions Asia)
เพื่อเปิดให้บริการคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งแบบ Public Cloud ที่คิดค่าบริการตามจริงเป็นรายชั่วโมง และแบบ Private Cloud สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้ใช้งานที่ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย รวมถึงบริการด้านการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data analytics)
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังขยายโอกาสทางธุรกิจผ่านการร่วมทุนกับ บริษัท เบญจจินดา โฮลดิ้งจำกัด ตั้งบริษัท ชินาทรัพย์ จำกัด เพื่อรองรับความต้องการด้านโครงสร้างระบบสื่อสาร โดยในอนาคตบริษัทฯ ยังคงมีแผนประยุกต์โมเดลนี้กับบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและเป็นที่น่าเชื่อถือในตลาด เพื่อขยายฐานการเติบโตของธุรกิจ พร้อมกันนี้ทางเรายังมุ่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาบุคลากรทั้ง
ภายในองค์กรและภายนอกองค์กร ให้มีความเชี่ยวชาญที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และความต้องการของตลาดในระดับภูมิภาค ต่อยอดความรู้และแชร์ประสบการณ์เชิงลึกที่สำคัญๆ ทั้งภายใน และต่างประเทศ เพื่อเป็นการเอื้อให้คนเหล่านั้น ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือธุรกิจที่ประกอบการอยู่ สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
ด้าน วลีพร สายะสิต ผู้อำนวยการ ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด (ทีซีซีเทค) กล่าวเสริมว่า เราเน้นสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาสิ่งใหม่ โดยใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย 3 ด้านหลักคือ People, Partner & Process ซึ่งอาศัยโครงสร้างพื้นฐานและพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนภารกิจต่างๆ
อย่างที่ทราบกันดี เทคโนโลยีได้เชื่อมโลกเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เราสามารถแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกัน สนับสนุนซึ่งกันและกันได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีต นอกเหนือจากเป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีที่ได้รับความไว้วางใจในระดับภูมิภาคฯลฯ
และเรายังมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นอีกหนึ่งกำลังเสริมในการสร้างศูนย์กลางองค์ความรู้ที่สำคัญ (Innovation Linkages) เพื่อช่วยเติมเต็มศักยภาพของของคนไทยให้แข่งขันได้ในเวทีสากล โดยทีซีซีเทค ตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยกลยุทธ์การสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจและสังคม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
จะเห็นว่าเรามีการผนึกกำลังกับองค์กรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ พร้อมวางเป้าหมายให้เกิด Innovation Hub ที่จะขับเคลื่อนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ (Knowledge Sharing) พร้อมกระตุ้นให้การคิดค้น ระดมสมองเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง
อาทิ โครงการ DATATHON#1 (Agritech focus) ที่มุ่งผลักดันคนรุ่นใหม่ สถาบันอุดมศึกษา และบริษัทวิจัยระดับโลก รวมถึงกลุ่มสตาร์ทอัพไทยขับเคลื่อนเกษตรและอาหาร ตอบโจทย์ยุคไทยแลนด์ 4.0 หรือเวทีฟินเทค “Fintech Dynamics in Asia” ที่ต้องการเปิดกว้างในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลาย
ทั้งจากนักวิเคราะห์ด้านอุตสาหกรรมฟินเทค สถาบันการเงินต่างๆ และกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจฟินเทค พร้อมอัพเดทความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีฟินเทคในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ภายใต้การดำเนินกิจกรรมที่เน้นทั้งคุณภาพ และความต่อเนื่องของโครงการทำให้ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2560 นี้
โดยทางบริษัทจะเปิดเวที Datathon#2 ซึ่งถือเป็นการยกระดับความร่วมมือไปสู่แถบภูมิภาคอาเซียนและสากล เพื่อช่วยกันปลุกปั้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย
หมายเหตุ: *แหล่งข้อมูล IDC white paper [https://goo.gl/tuCFxn] **แหล่งข้อมูลจาก https://www.marketingoops.com/reports/behaviors/digital-in-2017-global-overview/ ภาพประกอบ : www.pexels.com
สามารถกดติดตาม ข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยี ของเราได้ที่