อาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) จับมือรัฐบาลไทย ร่วมขยายช่องทางการส่งออก สินค้าเกษตรชื่อดังของไทยสู่เวทีโลก ความสำเร็จจากยอดจองทุเรียนไทยผ่านทีมอลล์ เปิดประตูสู่โอกาสการเติบโตของสินค้าไทยบนแพลตฟอร์มของอาลีบาบา
Alibaba รุกตลาดสินค้าเกษตรไทย หวังช่วยเพิ่มช่องทางขายผ่าน Platform
ความร่วมมือระหว่างอาลีบาบา กรุ๊ปและรัฐบาลไทยได้เปิดฉากขึ้
ด้วยยอดจองทุเรียนรวมถึง 130,000 ลูก ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นยอดจองทุเรียนหมอนทองจากช่
และธุรกิจไทยผู้จัดหาทุเรียนคุณภาพสูงที่ผ่านการคัดเลือกโดย DITP โดยความร่วมมือกับอาลีบาบา กรุ๊ปในโอกาสนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงตลาดผู้บริโภคจีนที่มีขนาดใหญ่และมีความต้องการสินค้านำเข้าคุณภาพสูงหลากหลายประเภทเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จรินทร์ ศิริการ เจ้าของศูนย์กลางรับซื้อผลไม้ ซูเปอร์ฟรุต ไทยแลนด์ กล่าวว่า เรามีการคัดเกรดทุเรียนก่อนที่จะส่งออก โดยพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสีของเปลือก น้ำหนักที่เหมาะสม และระดับความสุก เราจะเลือกตัดทุเรียนที่สุกราว 70-80% เพื่อให้ทุเรียนสุกพร้อมรับประทานพอดีเมื่อส่งถึงประเทศจีน
กระบวนการการคัดเลือกทุเรียนคุ
ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้
บุญเรือง ประทุม เจ้าของสวนทุเรี
ความร่วมมือกับอาลีบาบา ซึ่งครอบคลุมถึงการเปิดตัวร้านแฟลกชิปสโตร์สำหรับผลิตภัณฑ์ข้าวไทยด้วยนั้น ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยสามารถนำเสนอสินค้าออกสู่ตลาดจีนได้โดยมีการลงทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้าน สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ทุเรียนไทยถือเป็นสินค้าคุณภาพระดับพรีเมียมที่หาที่ไหนไม่ได้ในโลก และความร่วมมือนี้จะช่วยให้เราสามารถเพิ่มมูลค่าของทุเรียนและสินค้าเกษตรอื่นๆ จากประเทศไทยบนเวทีโลก ซึ่งจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับเกษตรกร และธุรกิจไทย
ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในครั้งนี้ อาลีบาบาจะร่วมส่งเสริมการขายทุเรียนมูลค่า 3 พันล้านหยวน (ประมาณ 15,000 ล้านบาท) ภายในระยะเวลา 3 ปี เพิ่มเติมจากสินค้าส่งออกของไทยชนิดอื่น ๆ การเปิดซื้อขายทุเรียนล่วงหน้ามีระยะเวลา 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 – 19 เมษายน
เพื่อขายทุเรียนคุณภาพพรีเมี่ยมพันธุ์หมอนทองและพันธุ์ พวงมณี ซึ่งเป็นทุเรียนที่มีชื่อเสียงของไทย จากการทำงานร่วมกันของผู้ส่งออกที่มีคุณภาพระดับแถวหน้าที่แนะนำโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และไช่เหนี่ยวแพลทฟอร์มโลจิสติกส์ของอาลีบาบา
ทำให้สามารถส่งทุเรียนจากแหล่งผลิตในประเทศไทยไปยังประเทศจีนได้ภายใน 120 ชั่วโมง และสามารถจัดส่งถึงมือลูกค้าทั่วประเทศจีนได้ภายใน 24 ชั่วโมง
หลังการเปิดตัว Thai Rice Flagship Store บน TMall.com เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา การขายข้าวซึ่งเป็นอีกหนึ่งสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย จะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากความร่วมมือในครั้งนี้ด้วย ซึ่งระบบกระจายสินค้าของ TMall จะกระจายข้าวไปยังหลากหลายช่องทาง รวมถึงการขายผ่านตู้ขายข้าวอัตโนมัติ
ที่ตั้งอยู่ตามร้านในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในเครือข่ายของ RT-Mart ในประเทศจีน นอกจากนี้ Tmall ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภคที่จะช่วยให้ผู้ค้าได้พัฒนาข้าวให้ตรงกับความชอบของผู้บริโภคชาวจีน เพื่อสร้างความสำเร็จจากการขายข้าวบนแพลทฟอร์ม TMall ซึ่งเห็นได้จากยอดขายข้าวไทยที่เติบโตมากกว่า 2 เท่า ในปี 2560
ด้าน ซู เฉีย ผู้อำนวยการอาวุโส TMall Fresh กล่าวว่า ในระยะแรกของความร่วมมือนี้ เราได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากกระทรวงพาณิชย์และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการแนะนำผู้จัดหาสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพให้นำผลผลิตเหล่านี้มาขายบนแพลทฟอร์มของเรา
และเรามีความตั้งใจที่จะทำธุรกิจในรูปแบบนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่ทุเรียนและข้าวเท่านั้น ยังรวมถึงสินค้าเกษตรอื่น ๆ อีกด้วย เพื่อสร้างโอกาสเติบโตและความสำเร็จให้กับพวกเขาผ่านแพลทฟอร์มของเรา
“โปรโมชั่นขายทุเรียนล่วงหน้า เป็นเพียงก้าวแรกตามความมุ่งมั่
นของเราที่มีมาอย่างต่อเนื่องที่ จะสนับสนุนอุ ตสาหกรรมเกษตรของประเทศไทย”
ส่วนขยาย
* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ ไม่มีวัตถุมุ่งเพื่อโจมตี หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
** Compose : ชลัมพ์ ศุภวาที (Editors and Reporters)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตาม ข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยี ของเราได้ที่