เผยระบบหลังบ้าน Amity แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งมี Product สำคัญอย่าง Amity Social Cloud ตอบโจทย์การใช้งานฟีเจอร์โซเชี
บริษัท อะเมซอน เว็บ เซอวิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ประกาศว่าบริษัทเอมิตี้ (Amity) ใช้ AWS เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทและพัฒนาองค์กรให้เป็นผู้บริการแพลตฟอร์มเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางสังคม (social engagement platform) แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งการระบาดของโควิด-19 เร่งให้หลายองค์กรมองหาการสร้างชุมชนดิจิทัลและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้เพิ่มมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ (Product) ของ Amity ที่ชื่อว่า Amity Social Cloud ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถรวมฟีเจอร์โซเชียลมากมายเข้าไปในแอปและเว็บไซต์ขององค์กรได้โดยการเขียนโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัด ทำให้ลูกค้าของ Amity และผู้ใช้งานรายเดือนที่มีมากกว่า 10 ล้านคน สามารถส่งข้อความและมีปฏิสัมพันธ์ผ่านหลายพันล้านข้อความต่อเดือน
ก่อนหน้านี้ในปี 2563 Amity ยังได้เข้าซื้อกิจการของ ConvoLab ซึ่งเป็นบริษัทแชทของไทย และย้ายบริการทั้งหมดไปยังคลาวด์ชั้นนำของโลกเพื่อเร่งพัฒนานวัตกรรมและปรับขนาดแพลตฟอร์มโซเชียลใหม่อย่างรวดเร็ว ได้แก่ Amity Chat SDK, Amity Social SDK และ Amity Video SDK ด้วยการใช้บริการคลาวด์ของ AWS ที่มีความโดดเด่นในด้านบริการและเครื่องมือที่ครอบคลุมและหลากหลาย ได้แก่ คอนเทนเนอร์ ฐานข้อมูล และแมชชีนเลิร์นนิ่ง ทำให้ Amity ช่วยให้องค์กรขนาดใหญ่หลายร้อยแห่ง และบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ รวมถึง Air Asia, TrueID, Subway และ Unilever สามารถนำเสนอประสบการณ์การใช้โซเชียลและสร้างชุมชนดิจิทัลที่ไม่เหมือนใคร เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และเปิดโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ
ในปีแรกของการระบาดของโควิด-19 Amity เห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า จากองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการรวมฟีเจอร์โซเชียลต่าง ๆ เช่น ฟีด โปรไฟล์ กลุ่ม แชท และวิดีโอสตรีม เข้าไปในแอปและเว็บไซต์ขององค์กร เพื่อดึงดูดลูกค้า ผู้ใช้ และพนักงานได้ดียิ่งขึ้น การใช้ AWS ทำให้ Amity พลิกกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทได้อย่างง่ายดาย สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยบริการที่ครอบคลุมและหลากหลาย ทั้งในด้านฟีเจอร์โซเชียล การมีส่วนร่วมของพนักงาน และแชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย ML ที่ดึงดูดผู้ใช้งานผ่านช่องทางที่หลากหลายได้อย่างชาญฉลาด รวมถึงการให้บริการลูกค้าและแคมเปญการตลาด Amity ขยายขนาดแพลตฟอร์มโซเชียลของบริษัทบน AWS อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ใช้ใหม่หลายล้านคนทั่วโลกเข้าถึงเนื้อหา เชื่อมต่อ และใช้งานแอปหรือเว็บไซต์ที่ชื่นชอบได้อย่างราบรื่น
นอกจากนี้ Amity ยังใช้สถาปัตยกรรมแบบ Serverless บน AWS Lambda ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถปรับขยายตามจำนวนลูกค้าได้เร็วขึ้น ซึ่งหมายความว่าเมื่อ Amity จะจ่ายเงินตามการใช้งานจริง และได้รับประสิทธิภาพในการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นอัตโนมัติเพื่อรองรับลูกค้าในกรณีที่มีการปล่อยแคมเปญบนโซเชียลมีเดียหรือทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย นอกจากนั้นการใช้ Amazon Personalize ซึ่งเป็นบริการแมชชีนเลิร์นนิ่ง ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถสร้างประสบการณ์ผู้ใช้แบบเฉพาะเจาะจงสำหรับบุคคลแบบเรียลไทม์จำนวนมากที่มีความแม่นยำสูงได้รวดเร็วขึ้น ทำให้ Amity ช่วยองค์กรต่าง ๆ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจให้กับผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ได้
“การสร้างแพลตฟอร์มบน AWS ทำให้เรามีความคล่องตัวในการพัฒนา Amity ให้เป็นแพลตฟอร์มทางโซเชียลที่ครอบคลุมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานและผู้ใช้ทั่วโลกได้ดียิ่งขึ้น” กรวัฒน์ เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอมิตี้ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอมิตี้ ระบุต่อว่า “ด้วยการใช้ประโยชน์จากการให้บริการคลาวด์ของ AWS ที่มีความโดดเด่นในด้านบริการและเครื่องมือหรือคุณสมบัติในแต่ละบริการที่ครอบคลุมและหลากหลาย เช่น บริการแมชชีนเลิร์นนิงเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เราสามารถพัฒนาคุณสมบัติใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และสิ่งนี้ทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการปรับปรุงแพลตฟอร์มของเราอย่างต่อเนื่องโดยพิจารณาจากสิ่งที่ลูกค้าของเราต้องการ”
คอเนอร์ แมคนามารา กรรมการผู้จัดการภูมิภาคอาเซียน บริษัท อะเมซอน เว็บเซอร์วิสเซส กล่าวว่า “Amity เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของบริษัทที่สร้างขึ้นบน AWS ตั้งแต่เริ่มธุรกิจ ซึ่งใช้ประโยชน์จากความคล่องตัวของคลาวด์คอมพิวติ้งเพื่อเข้าสู่ตลาดใหม่และรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ของลูกค้า เมื่อสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไป”
“ด้วยการรวมฟีเจอร์โซเชียลต่าง ๆ ที่อยู่บนคลาวด์เข้าไปในแอปและเว็บไซต์ขององค์กร Amity ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ขับเคลื่อนการมีปฏิสัมพันธ์และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า การใช้ AWS ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์สำหรับ Amity นั้น ช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงบริการคลาวด์ที่ครอบคลุมและเชี่ยวชาญที่สุด เพื่อพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า” คอเนอร์ แมคนามารา กล่าว