เอปสันประกาศครองเจ้าตลาดพรินเตอร์อิงค์เจ็ตและโปรเจ็คเตอร์ของไทยฉลอง ครบรอบ 25 ปี พร้อมเผยกลยุทธ์สร้างธุรกิจเติบโตในระยะยาวและเดินหน้าสานต่อแคมเปญใหญ่ Epson, Trust in You เพื่อตอกย้ำความไว้ใจของลูกค้า ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีครบ รอบ 25 ปี เอปสัน ประเทศไทย ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 30 ล้านบาท ในการทำแคมเปญสื่อสารการตลาด ภายใต้ชื่อ TRUST เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ไว้วางใจของลูกค้ามาตลอด 25 ปี ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งในเชิงการรับรู้แบรนด์ที่กว้างขึ้น และทัศนคติที่ดีของลูกค้าต่อแบรนด์เอปสัน ทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และช่วยสนับสนุนด้านการขายจนเป็นไปตามเป้าที่วางไว้
“สำหรับผลประกอบการปีที่ผ่านมา บริษัทฯ คาดว่าจะรับรู้รายได้รวมจากการขายสินค้าทุกกลุ่ม ทั้งของประเทศไทย และตลาดในภูมิภาคภายใต้การดูแลของเอปสัน ประเทศไทย ได้แก่ ประเทศเวียดนาม พม่า กัมพูชา ลาว และ ปากีสถาน รวมเติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8% โดยแบ่งเป็นตลาดประเทศไทยเติบโตเพิ่มขึ้น 6% และตลาดต่างประเทศ เติบโต 16% ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทฯ สามารถรุกขยายเข้าสู่ตลาดกลุ่ม Mid to High เช่น องค์กรธุรกิจขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา และเอเจนซี่ต่างๆ ได้มากขึ้น”
นายยรรยงกล่าวถึงการเติบโตของสินค้าแต่ละประเภทว่า พรินเตอร์อิงค์เจ็ตมีการเติบโตสูงสุดอยู่ที่ 20% เนื่องจาก กลุ่ม L-Series หรือเครื่องแท็งค์แท้ของเอปสันทำยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดกรุงเทพและต่างจังหวัด พร้อมได้ฐานลูกค้าเพิ่มจากกลุ่มผู้ใช้เครื่องแท็งค์เถื่อนที่เริ่มลดลงเรื่อยๆ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เอปสันเคยคาดการณ์ถึง แนวโน้มตลาดพรินเตอร์อิงค์เจ็ตว่า ระบบหมึกพิมพ์ความจุสูงจะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีมูลค่าการขายมากกว่า 70% ของตลาดทั้งหมดภายใน 5 ปี ซึ่งปัจจุบันพรินเตอร์ระบบแท็งค์ก็มีมูลค่าทะลุไปถึง 72% แล้ว เอปสันที่เป็น แบรนด์แรกที่ทำวิจัยและพัฒนาระบบแท็งค์ที่ได้มาตรฐาน และสามารถทำงานคู่กับหัวพิมพ์ไมโครปิเอโซได้อย่าง เต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังเดินหน้าสร้างแบรนด์ L-Series และทำตลาดอย่างจริงจัง พร้อมกับเพิ่มไลน์สินค้าอย่างต่อเนื่อง จึงมี L-Series มากถึง 12 รุ่นอยู่ในตลาดปัจจุบัน ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่โฮมยูส นักศึกษา ธุรกิจโซโห เอสเอ็มอี ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่
นายยรรยงกล่าวต่อว่า “กลุ่มสินค้าที่เติบโตมากที่สุดเป็นอันดับสองคือกลุ่มทีเอ็มพรินเตอร์ เช่น พรินเตอร์พิมพ์ใบเสร็จ ที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 16% เนื่องจากมีห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านสะดวกซื้อ รวมไปถึงร้านค้าปลีก และร้าน อาหารเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก ในส่วนโปรเจ็คเตอร์ มียอดขายเพิ่มถึง 3% ซึ่งถึงแม้ตลาดโดยรวมจะไม่มีการขยายตัว แต่เอปสันก็ยังคงสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่ง 35% โดยบริษัทฯ ได้ใช้กลยุทธ์ในการออกสินค้าใหม่อยู่เสมอ เพื่อไปตอบโจทย์ความต้องการทุกด้าน ของลูกค้าทุกประเภท ทั้งในแง่ของความคุ้มค่า ระดับความสว่าง ฟังก์ชั่นการทำงาน ไปจนถึงความเหมาะสมกับ ประเภทธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันเอปสันมีโปรเจ็คเตอร์มากกว่า 60 รุ่นอยู่ในตลาด และยังคงชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยี 3LCD ความคุ้มค่าในการลงทุนที่ได้เปรียบคู่แข่ง พร้อมบริการหลังการขายที่ดี ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ลูกค้าที่เน้นใช้งานด้าน พรีเซนเตชั่น อย่าง กลุ่มสถาบันการศึกษา เอเจนซี่โฆษณา ออร์แกไนเซอร์ ต้องการ”
“ส่วนกลุ่มพรินเตอร์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม ไม่มีการเติบโตที่โดดเด่นมากนักในปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพ โดยรวมของตลาดไม่ได้มีการขยายตัว แต่กลับมีโอกาสการเติบโตอย่างมากรออยู่ในปีนี้ เพราะเอปสันเพิ่งจะเปิดตัว โปรโมชั่นใหญ่พร้อมกันทั่วภูมิภาค ด้วยการลดราคาน้ำหมึกแท้ของพรินเตอร์ Dye Sublimation สำหรับธุรกิจสิ่งทอ 55% และธุรกิจป้ายโฆษณาถึง 70% พร้อมออกสินค้าใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการ ในขณะที่เร่งขยาย เครือข่ายตัวแทนจำหน่ายเพื่อรุกอุตสาหกรรมสิ่งทอและป้ายโฆษณา รวมถึงตลาดต่างจังหวัด”
“บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น จากกลุ่มเครื่องเธิร์ดปาร์ตี้หรือเครื่องประกอบที่มีใช้อย่างแพร่หลายใน ปัจจุบัน โปรโมชั่นนี้จะช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการที่ใช้เครื่องประกอบสนใจหันมาทดลองใช้พรินเตอร์และหมึกพิมพ์ แท้ของเอปสันกันมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการจะสามารถลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพการผลิต และขยายไลน์ธุรกิจที่เน้นงาน คุณภาพ หรืองานแบบ made to order ได้มากขึ้น อีกทั้งยังได้รับการดูแลโดยตรงจากเอปสัน ปัจจุบันเอปสันเป็น แบรนด์ผู้ผลิตเพียงรายเดียวในตลาด ที่ให้การรับประกันทั้งในส่วนหัวพิมพ์และตัวเครื่องนาน 2 ปี”
นายยรรยงกล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2559 ว่า เอปสัน ประเทศไทย ได้ตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 10% โดยคาดการณ์ว่ากลุ่มสินค้าหลักทั้ง 3 กลุ่มจะมีอัตราเติบโตดังนี้ กลุ่มพรินเตอร์อิงค์เจ็ต 15% พรินเตอร์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม 15% และโปรเจ็คเตอร์ 8% ซึ่งบริษัทฯ ได้กำหนดกลยุทธ์ที่เน้นสร้างการเติบโตในระยะยาวได้ไว้ 3 ด้าน ได้แก่ การสร้างมูลค่าที่แท้จริงที่ลูกค้าควรได้รับ (Real Customer Value) การสร้างมูลค่าทางธุรกิจใหม่ (New Business Value) และการสร้างมูลค่าให้แบรนด์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (Brand Value)
“ในกลยุทธ์แรก การสร้างมูลค่าที่แท้จริงที่ลูกค้าควรได้รับ บริษัทฯ จะโฟกัสที่ความพึงพอใจของลูกค้าใน 4 ด้าน ได้แก่ ตัวสินค้าที่ยังเน้นช่วยลูกค้าลดต้นทุนในการทำธุรกิจ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงาน และมี ขนาดที่เล็กและบางเบา เน้นพกพาสะดวก โดยเอปสันมีแผนจะเปิดตัว L-Series รุ่นใหม่ เพื่อครอบคลุมความต้องการ ของตลาดมากขึ้น และโปรเจ็คเตอร์ความสว่างตั้งแต่ 6,000 – 25,000 ลูเมนส์ ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้ Laser Light Source ให้ระดับแสงสีดำที่ดำสุดได้ ภาพจึงมีมิติและสมจริงมาก ใช้พลังงานน้อยและสร้างความร้อนต่ำ ที่สำคัญมีอายุการใช้ งานนานถึง 20,000 ชั่วโมง เหมาะกับงานอีเวนท์กลางแจ้ง รวมถึงสินค้ารูปแบบพกพาสำหรับงานเฉพาะด้าน เช่น พรินเตอร์ใบเสร็จแบบพกพา รุ่น TM-m30 หรือพรินเตอร์ใบเสร็จสำหรับธุรกิจค้าปลีก รุ่น TM-80 Series และแว่นตา อัจฉริยะ Moverio BT-2000 ที่สามารถนำเสนอข้อมูลแบบ 3 มิติ ซึ่งเหมาะกับแวดวงอุตสาหกรรม เป็นต้น”
“ต่อมาคือด้านพันธมิตรตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเอปสันจะขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบัน ที่มีอยู่ 166 ราย เป็นอย่างน้อย 180 รายในปีนี้ นอกจากนี้จะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดเฉพาะ ด้านมากขึ้น เช่น หน่วยงานราชการ อุตสาหกรรมสิ่งทอ และตลาดเฉพาะทางวิชาชีพ เช่น โรงพยาบาล คลินิค รวมถึง ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคอินโดจีนที่เอปสัน ประเทศไทยดูแลอยู่”
ด้านแคมเปญการตลาดที่จะเน้นถึงคุณค่าสูงสุดที่ลูกค้าได้รับ โดยเน้นการให้ข้อมูลด้านสินค้าและเทคโนโลยี เพื่อให้ ลูกค้าเกิดความมั่นใจและเกิดประสบการณ์ที่ดีต่อแบรนด์เอปสัน ว่าลูกค้าจะรับได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ ในราคาที่ คุ้มค่าด้วยฟังก์ชั่นที่สามารถตอบสนองทุกโจทย์ความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบในระยะยาว เมื่อเลือกใช้เอปสัน”
“ด้านการบริการ ปัจจุบันเอปสันเป็นแบรนด์ที่ได้รับความพึงพอใจจากลูกค้าในด้านการให้บริการหลังการขายในระดับ ที่สูง และบริษัทฯ จะยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีเยี่ยมเช่นนี้ต่อไป เพราะการบริการคือ การสร้าง Brand Loyalty ซึ่งเป็นส่วนของการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ มีการจัดฝึกอบรมในด้านต่างๆ ให้กับ เจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บริการทั่วประเทศ ไม่เพียงแต่ในส่วนของเทคโนโลยี ตัวสินค้า แต่ยังมีทักษะในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น การสื่อสาร การให้บริการ เทรนด์ของเทคโนโลยี เป็นต้น