ฟินโนมีนา (Finnomena) เดินเกมบริการ Robo Advisor ล้ำไปอีกขึ้น ดึงผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินร่วมออกแบบพอร์ตการลงทุน 6 รูปแบบ ชูจุดเด่นทันสมัย ใช้งานง่าย ในทุกแฟลตฟอร์ม ที่ตอบโจทย์ได้รายบุคคล…
highlight
- ฟินโนมีนา (FINNOMENA) สตาร์ทอัพชั้นนำของประเทศไทยเล็งเห็นปัญหาของการที่นักลงทุนที่ “ลงทุนโดยใช้หู” มักฟังคำแนะนำจากเพื่อนในการลงทุนแทนที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จึงได้คัดเลือก 6 กูรูชั้นนำด้านการเงินของประเทศไทยจัดพอร์ตโชว์ โดยให้ลูกค้าสามารถลงทุนตามกูรูได้ระหว่างที่กำลังศึกษาเรื่องการลงทุน
- ด้วยระบบ Crowdsourcing Robo-advisor ที่นอกจากแนะนำกองทุนที่จำเป็นต้องลงทุนในครั้งแรก ยังสามารถติดตามการปรับกลยุทธ์ลงทุนพร้อมเหตุผลของกูรู รวมถึงรับคำแนะนำการปรับพอร์ตตามสถานการณ์ และมุมมองของตัวกูรูที่เปลี่ยนไป
Finnomena เดินเกมบริการ Robo Advisor ดึง 6 กูรูร่วมออกแบบพอร์ตการลงทุนที่ฉลาดมากขึ้น
เจษฎา สุขทิศ ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ฟินโนมีนา กล่าวว่า เรื่องของการลงทุนในด้านการเงินได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจากในอดีต เพราะโลกได้ก้าวสูยุคของเทคโนโยีดิจิทัล จากที่ต้องโทรถามตัวแทน หรือโปกเกอร์ และหาข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง เพื่อคาดคะเนพอร์ตการลงทุน ต่าง ๆ ที่สนใจ
เปลี่ยนไปเป็นการลงทุนที่ผ่าน บริการที่ปรึกษาการลงทุนแบบออนไลน์ หรือ เทคโนโลยีออนไลน์ที่ช่วยจัดการด้านการเงินเฉพาะบุคคล ตั้งแต่ขึั้นตอนการเริ่มจากวางแผนการลงทุนที่ผนวกรวมข้อมูลจากลูกค้า และแนะนำวิธีการลงทุนตามลูกค้าที่ต้องการ ทั้งหมดเพื่อลดระดับความเสี่ยง ด้วยข้อมูลจากที่ต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลความเคลื่อนไหวในตลาด ข้อมูลการลงทุน บทวิเคราะห์ และสูตรการคำนวณ เพื่อให้คำแนะนำว่า ลูกค้าควรจะลงทุนในพอร์ตอะไรบ้าง ถึงจะคุ้มค่าในการลงทุนมากที่สุด ซึ่งหากมองในมุมของนักลงทุนไทย การใช้เทคโนโลยีออนไลน์เพื่อช่วยจัดการด้านการเงิน เป็นสิ่งที่นักลงทุนไทยต้องการอย่างมาก
เนื่องจากสถาการณ์ในปัจจุบันนักลงทุนในไทย มักนิยมใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ขาดความน่าเชื่อถือ ทำให้การลงทุนในพอร์ตต่าง ๆ เนื่องจากไม่สามารถสั่งขายหุ้น หรือกองทุน เมื่อถึงจุดที่ต้องขาย และทำการโยกเงินลงทุนไปพักไว้ที่อื่นเพื่อรอจังหวะการลงทุนต่อไป การงลงทุนจึงไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ
อีกทั้งเมื่อพิจารณาในแง่ของการเพิ่มจำนวนมากขึ้นของจำนวนประชากรที่สูงวัย แต่มีเพียง 1.6 ล้านคนเท่านั้น ที่มีการลงทุนในกองทุนต่าง ๆ เพื่อรองรับชีวิตหลังเกษียณ สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงในเรื่องของความมั่งคั่งทางด้านการเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมได้
ใช้ข้อมูล ความเชี่ยวชาญ ผสานร่วมกับเทคโนโลยี
เพื่อแก่ปัญหาดังกล่าว วันนี้ ฟินโนมีนา จึงได้สร้างแฟลตฟอร์ม “คลาวด์ซอสซิ่ง โรโบ-แอดไวเซอร์” (Crowdsourcing Robo-advisor) ที่ผนวกความรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ที่เรียกว่า “คลาวด์ซอสซิ่ง อินเวสท์เม้นต์“ (Crowdsourcing Investment) หรือ GURUPORT ขึ้น
เพื่อเป็นแนวทางการลงทุนที่นักลงทุนเลือกลงทุนตามนักลงทุนด้วยกันที่ตนเองชื่นชอบ หรือลงทุนตามกูรู โดยทั้ง 6 กูรูที่ทางฟินโนมีนาคัดเลือกมา จะเข้ามาให้แนวคิดสำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย ลงทุนได้จริง และทำการวิเคราะห์ร่วมกับทีมงานการลงทุนของ บลน.ฟินโนมีนา ซึ่งจะมีทั้งการจัดพอร์ตสำหรับลงทุนระยะยาว
เพื่อเป้าหมายทางการเงิน หรือพอร์ตที่มีลักษณะเป็นธีมการลงทุน (Thematic Portfolio) เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ สำหรับ นักลงทุนที่ติดตามกูรูแต่ละท่านอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้นำแนวคิดต่างๆ ไปใช้ในการลงทุนจริง โดย กูรู ทั้ง 6 ท่าน ที่มาพร้อม 6 แนวทาง ในการช่วยเสริมเขี้ยวเล็บให้แก่นักลงทุน ได้แก่
ดร.แอนดรูว สตอทซ์ (Dr. Andrew Stotz) อดีตนักวิเคราะห์ชื่อดัง และนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยจากผลสำรวจของ Asiamoney Brokers ประจำปี 2008-2009 และจากรายงานของ All-Asia Research Team อีกทั้งท่านได้เป็นประธาน CFA Society แห่งประเทศไทย อีกด้วย
โดยจะเข้ามาแนะนำนักลงทุนในส่วนของ พอร์ตการลงทุนที่พร้อมรับสถานการณ์ทุกสภาวะตลาด (A.Stotz All-Weather Portfolio) หรือการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงในสินยทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในทุกสถาการณ์ของตลาด โดยมุ่งเน้นไปที่ตราสาร เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว แต่จะมีการกระจายสัดส่วนในกลุ่มของตราสารหนี้สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ
ท่านที่ 2 คือ คณิต นิมมาลัยรัตน์ นักลงทุนอิสระ อาจารย์พิเศษ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีชุด “เฟ้นหาหุ้นรวย” โดยเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาแล้วกว่า 20 เล่ม หรือที่เป็นที่รู้จักในนาม “นายแว่นลงทุน”
โดยจะเข้ามาแนะนำนักลงทุนในส่วนของ พอร์ตการลงทุนที่เน้นเติบโตไปกับอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในอนาคต (RUNNING for Growth) หรือการลงทุนที่เน้นมนด้านของการสร้างเติบโต โดยเน้นในส่วนของหุ้นเติบโตที่มีขนาดกิจการ (Market Cap) ตั้งแต่ 5,000-200,000 ล้านบาท หรืออุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโต
เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว, อุตสาหกรรมค้าปลีก อุตสาหกรรมทางการแพทย์, อุตสาหกรรมทางด้านการเงินสมัยใหม่, อุตสาหกรรมการสื่อสาร และเทคโนโลยี และระบบขนส่งทางราง เป็นต้น
ท่านที่ 3 คือ สมพจน์ พัดสุวรรณ หรือ คุณหนุ่ม “Wealthguru” Head of Financial Consultant จากบริษัท Kompass Wealth ซึ่งกลุ่มที่ปรึกษาการเงินอิสระที่กำลังได้รับความนิยม โดยจะเข้ามาแนะนำนักลงทุนในส่วนของ พอร์ตการลงทุนที่เน้นการผสมผสานระหว่างกองทุนประเภท Active และ Passive (Global Aggressive Hybrid Portfolio)
หรือการลงทุนแบบเชิงรับแบบ Value ผสม เชิงรุกแบบ Growth ด้วยการกระจายสินทรัพย์ทั้งในประเทศ และทั่วโลก และลดความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนไปยัง REIT และตราสารหนี้ในไทย และต่างประเทศ ซึ่งพอร์ตนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยนักลงทุนให้สามารถวางเป้าหมายได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนเพื่อการศึกษาของบุตรหลานการลงทุนเพื่อชีวิตหลังวัยเกษียณ เป็นต้น
ท่านที่ 4 คือ กฤษฏิ์ หุ่นสุวรรณ เจ้าของเพจ “InvestDiary” นักลงทุนอิสระสาย VI เจ้าของ Facebook เพจชื่อดัง InvestDiary เชี่ยวชาญการลงทุนแบบหุ้นรายตัวแนว VI และกองทุนอสังหาริมทรัพย์รวมถึง REIT โดยจะเข้ามาแนะนำนักลงทุนในส่วนของ พอร์ตการลงทุนสไตล์เรียบง่ายที่เน้นลงกองทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกคัด (Best of Risk Adjusted Return-Equity REITs)
หรือพอร์ตกองทุนรวมหุ้น และREIT ที่สามารถคาดการณ์ผลตบแทนได้ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงน้อยจากการผันผวนของตลาด เพื่อสร้างความเสถียรของเงินต้นมากที่สุด และสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ
ท่านที่ 5 คือ ภัทรธร ช่อวิชิต นักลงทุนอิสระ และเจ้าของเว็บ “Investidea.in.th” ผู้เขียนหนังสือ “ผ่าความลับงบการเงิน” เป็นหนังสือที่สอนให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานได้อย่างง่ายๆ และสามารถเป็นผู้พัฒนาเครื่องมือและระบบการลงทุนผ่านเพจและเว็บไซต์ Labhoon
โดยจะเข้ามาแนะนำนักลงทุนในส่วนของ พอร์ตการลงทุนที่เน้นรับการเติบโตจากภูมิภาค ASEAN (ASEAN Growth) หรือพอร์ตกองทุนรวมที่จะลงทุนในกลุ่มประเทศ ASEAN ที่มีศักยภาพ และสามารถสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว หรือ Emerging Market โดยใช้ SET50 เป็นตัวแทน
รวมไปถึงตลาดในกลุ่ม Frontier ในกลุ่ม CLMV ที่ใช้กองทุนของเวียดนาม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ต เช่น กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์
ท่านสุดท้าย คือ นิมิต วิทย์ศลาพงษ์ หรือ “DaddyTrader” อดีตผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเงินการลงทุน การออกหลักทรัพย์ รวมถึงเป็นผู้ให้ความรู้ด้านตราสารประเภทอนุพันธ์ เช่น Futures, Options และมีส่วนช่วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ
โดยจะเข้ามาแนะนำนักลงทุนในส่วนของ พอร์ตการลงทุนสไตล์ Classic ที่เน้นความเสี่ยงปานกลางถึงต่ำ เหมาะกับเก็บเงินระยะยาว (Long Term Defensive Plus) หรือพอร์ตกองทุนรวม ทีีมุ่งเน้นผลตอบแทนในระยาว (7-10 ปี) ขึ้นไป ซึ่งพอร์ตนี้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้งส่วนของ ตราสารทุน ตราสารหนี้ และREITs
สำหรับผู้ใช้งานแฟลตฟอร์มของ ฟินโนมีนา จะได้รับบริการที่พิเศษในรูปแบบของรายบุคคล เพราะตัวระบบจะมีการแจ้งตือน และแนะนำพอร์ตที่น่าสนใจจะลงทุน จากข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลตลาด ข้อมูลความต้องการของนักลงทุน ข้อมูลของผู้ชาญทางด้านการเงิน ซึ่งผ่านการวิเคราะห์ประมวลผลเรียบร้อย
นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษที่ผู้ให้บริการรายอื่นไม่สามารถทำได้อีกด้วย โดยปัจจุบัน ฟินโนมีนา มีผู้ใช้บริการผ่านเว็บไซต์แล้วกว่า 25,000 ราย และผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนแล้วกว่า 15,000 ราย (ประมาณการลงทุนมากกว่า 25 พอร์ต)
โดยจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมาถึงปัจจุบันมีผู้เข้ารับคำแนะนำการลงทุนแล้วกว่า 2,000 คน ซึ่งฟินโนมีนาตั้งเป้านักลงทุนในแพลตฟอร์มใหม่นี้ 10,000 คนภายในสิ้นปีนี้ สำหรับแผนในอนาคตเราเตรียมี่ยกระดับการสมัครใช้ให้ผ่านมมาตราฐาน e-KYC ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนในการใช้กระดาษลง และน่าจะช่วยให้นักลงทุนสมัครใช้บริการเราเพิ่มมากขึ้น
ด้าน เจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟินโนมีนา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้การตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนมักมาจากข้อมูลของบริษัทหลักทรัพย์หรือสถาบันการเงิน (Sell-side Information) หรือคนใกล้ชิด แต่ปัจจุบันการที่ผู้มีความสนใจในเรื่องเดียวกันสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์กันได้บนโลกออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็น Social Media หรือแพลตฟอร์มการลงทุนต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดกูรูการลงทุนขึ้นมากมายนับร้อยนับพันซึ่งได้รับการยอมรับจากนักลงทุนจำนวนมาก และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยให้ความรู้เรื่องการเงินการลงทุน (Financial Literacy) เข้าถึงคนไทยในมากขึ้น ยิ่งมีความรู้ก็จะเห็นความสำคัญของการลงทุน และเข้ามาเป็นนักลงทุนกันมากขึ้น
สำหรับระบบ Crowdsourcing Robo-advisor นั้นจะช่วยแนะนำกองทุนที่จำเป็นต้องลงทุนในครั้งแรก และสามารถติดตามการปรับกลยุทธ์ลงทุนพร้อมเหตุผลของกูรู รวมถึงรับคำแนะนำการปรับพอร์ตตามสถานการณ์ และมุมมองของตัวกูรูที่เปลี่ยนไป
ที่สำคัญที่สุดคือ ฟรี! ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการแนะนำการจัดพอร์ต เพื่อให้คนไทยส่วนใหญ่ได้ทดลองใช้งาน เราจึงกำหนดเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 20,000-50,000 บาท เท่านั้น
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.pexels.com
สามารถกดติดตามข่าวสารและบทความทางด้านเทคโนโลยีของเราได้ที่