Technology

อย่างทีทราบกันดีว่า จีน พยายามที่จะกลายเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี (Technology) โดยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเทคโนโลยี ของจีนนั้นได้พัฒนาอย่างรวดเร็วไม่แพ้ กลุ่มบริษัทฯเทคโนโลยี ในยุโรป และสหรัฐฯ 

บทวิเคราะห์ “สงครามการค้า” (Trade war) จีน-สหรัฐฯ จะกระทบวงการเทคโนโลยี (Technology) หรือไม่?

เรื่องดังกล่าวได้สร้างความวิตกกังวลให้กับผู้นำธุรกิจชาวอเมริกันมาหลายปีแล้ว และกำลังสร้างความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก เนื่องจากกลยุทธ์ที่จีนใช้ คือ “Made in China 2025” โดยมีวิธีการคือการใช้เงินซื้อเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ๆทั่วโลก

และนำมาพัฒนาต่อก่อนให้บริษัทฯต่างทั่วโลก ใช้งาน ในราคาที่ถูกกว่า เนื่องจาก จีน นั้นเสียค่าภาษีที่น้อยกว่าในการนำ เทคโนโลยี และโซลูชั่น ไปเสนอให้แก่ บริษัทฯ ต่างๆ และผู้บริโภค ในสหรัฐฯ

และเพื่อตอบโต้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ออกมาแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวว่าจะตอบโต้ความไม่เป็นธรรมทางการค้าที่จีนเอาเปรียบมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งมาตรการล่าสุดที่ สหรัฐฯ ใช้คือขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียมจากต่างประเทศ (22 มี.ค. 2561)

Technology

และผู้นำสหรัฐฯกล่าวว่าไม่หวั่น แม้จะเกิด “สงครามทางการค้า” และเป็นเรื่องง่ายมากที่สหรัฐฯ จะเอาชนะได้ โดยสิ่ง สหรัฐฯ ได้ดำเนินการไปแล้วคือจำกัดการลงทุนจากบริษัทของจีนในสหรัฐฯ ด้วยร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก เกี่ยวกับข้อกำหนดที่ไม่เป็นธรมในใบอนุญาตทำการค้า

ซึ่งผลคือองค์การการค้าโลกได้ตัดสินว่าจีนละเมิดข้อตกลงการค้า โดยได้สั่งให้จีนลดภาษีศุลกากรกับผลิตภัณฑ์ไก่เนื้อนำเข้าจากสหรัฐฯ แน่นอนว่าด้วยท่าทีของผุ้นำสหรัฐฯ ที่แสดงออกมาเช่นนี้ จีนเองก็ไม่ยอม ได้ออกมาตรการตอบโต้ สหรัฐฯ

ด้วยการกำหนดอัตราภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 128 รายการ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 (รวมเนื้อหมู ถั่ว ผลไม้สด ผลไม้แห้ง โสม ไวน์ และเหล็กแท่ง และเศษอะลูมิเนียม) และแน่นอนว่าอาจลุกลามไปถึงหมวดสินค้าทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งในทางทฤษฎี

Technology

หากจีนจะดึงสินค้าในหมวดของเทคโนโลยีเข้ามาในการปรับอัตราภาษีนำเข้าไว้ด้วย รัฐบาลจีน ก็สามารถเก็บภาษีจากบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เช่น แอปเปิล ได้ ซึ่งแน่นอนว่า บริษัทฯ จากสหรัฐ เหล่านี้ ก็จำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าเพื่อชดเชยกำไรที่จะหายไป และหากเกิดขึ้นจริงๆ ผลักภาระก็จะตกไปยังกลุ่มผู้บริโภคในทันที

ด้านนักวิเคราะห์หลายที่ออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างกัน อาทิ

Louis Kuijs จาก บริษัท วิจัย Oxford Economics ได้ออกมา กล่าวว่า การกระทำด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ทำได้แสดงท่าทีจีนจะนำไปสู่ การเพิ่มความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นอิสระ และนำไปสู่การพิจรณาสร้างกฏในการใช้เทคโนโลยีในประเทศอีกครั้ง

ขณะที่ แมตต์ ชีแฮน นักวิจัยจากสถาบัน Paulson Institute กล่าวว่า หลายทศวรรษที่ผ่านมา ความสงสัยเกี่ยวกับศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของจีนที่รวดเร็ว ที่สหรัฐรู้สึกกลัวว่าจะเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ ต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้กลายเป็นเรื่องจริงแล้ว

Technology

นอกจากเรื่องของภาษีนำเข้าสินค้าแล้วท่าทีล่าสุดทางรัฐบาลจีน เองก็แสดงท่าทีตอบโต้อยางอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการออกมาเปิดเผยว่าเตรียมลดการซื้อพันธบัตรของสหรัฐลง (ปัจจุบันจีนถือพันธบัตรสหรัฐอยู่ประมาณ 1.7 ล้านล้านเหรียญ) หากการซื้อพันธบัตรสหรัฐจากจีนลดลง

ความพยายามของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่พยายามลดการถือครองพันธบัตร ตามนโยบาลผ่อนคลายทางการเงิน (EQ) น่าจะได้ผลกระทบอยางมาก ความเคลื่อนไหวล่าสุดเรื่องดังกล่าวน่าจะสร้างความกังวล ให้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ไม่มากก็น้อย

จึงมีการเคลื่อนไหวด้วยเตรียมการส่ง ทีมที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจชั้นนำไปยังประเทศจีน เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้า ในด้านของปัญหาอัตราภาษี ที่มีที่ท่าลุกลาม ขมขู่ เรื่องอัตราภาษี ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ในช่วงก่อนหน้านี้

ส่วนขยาย

* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ ไม่มีวัตถุมุ่งเพื่อโจมตี หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง 
** Compose : ชลัมพ์ ศุภวาที (Editors and Reporters)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com

สามารถกดติดตาม ข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยี ของเราได้ที่