ในยุดดิจิทัล การทำธุรกรรมทางการเงินของบุคคลทั่วไปได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งในเกมการแข่งขันของผุู้ให้บริการทางการเงิน หลายแห่งต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีการแบบเดิมๆ ซึ่งจุดที่จะชี้ขาดว่าธุรกิจจะอยู่หรือไปคือการสร้างความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยน (The Agility to Change) ให้รวดเร็วสุด

ความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยน (The Agility to Change) จุดชี้ขาดในธุรกิจ

ความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยน (The Agility to Change) ในยุดดิจิทัล การทำธุรกรรมทางการเงินของบุคคลทั่วไปได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และช่องทางก็เพิ่มมากขึ้น ธุรกรรมการเงินแบบเดิมๆ เช่น การชำระเงิน โอนเงิน โอนเงินต่างประเทศ

หรือแม้แต่เงินกู้บุคคลปัจจุบันสามารถทำได้ผ่านบริการโมบายแบ้งกิ้ง บนแอปพลิเคชั่นแบบ P2P, QR Code หรือผ่านนวัตกรรมด้าน FinTech อื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารต่างเริ่มปรับตัวตามกระแส โดยพากันเข็นแอปพลิเคชั่นโมบายแบ้งกิ้งที่สามารถให้บริการทางการเงินได้แบบ real-time

ซึ่งในขณะนี้หลายธนาคารอนุญาตให้ลูกค้าเข้าถึงบัญชีธนาคารและทำธุรกรรมทางการเงินพื้นฐานได้ทุกที่ ทุกเวลาผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือ ซึ่งแอปพลิเคชั่นบางตัวได้รวมเอาฟีเจอร์พิเศษที่ให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งบัญชีของตนเองได้ด้วย

ในขณะที่ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามีวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลา อุตสาหกรรมการให้บริการทางการเงินจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องไปตามพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และขั้นตอนต่างๆ และเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้บริการที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า

สถาบันการเงินจึงหันไปพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อสร้างความคล่องตัวในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า พร้อมนำเสนอแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ ออกมา

The Agility to Change

จะสร้างความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนได้อย่างไร?

ในการสร้างความคล่องตัวนั้น สถาบันการเงินสามารถศึกษา DevOps, Microservice และ Cloud ซึ่งจะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีข้อปฏิบัติเคร่งครัดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยทั้งสามสิ่งมีจุดร่วมเดียวกันคือการเป็นโอเพ่นซอร์ส

สร้างให้เร็ว เรียนรู้ให้ไว การพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับโทรศัพท์มือถือนั้นมีความจำเป็นที่ต้องพัฒนาและสามารถนำไปใช้จริงได้อย่างรวดเร็ว เพราะจะมีแอปพลิเคชั่นที่สร้างขึ้นใหม่ ได้รับการอัพเดท และหมดอายุการใช้งาน เป็นวงจรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำเป็นที่จะต้องอาศัยความคล่องตัวและความยืดหยุ่นเท่าที่จะเป็นไปได้

ตั้งแต่การพัฒนาแอปพลิเคชั่นไปจนถึงการผสานรวม การตรวจสอบ และการนำไปใช้งาน สถาปัตยกรรม Microservice และ DevOps เชิงรุก สามารถเข้ามาช่วยสนับสนุน “รูปแบบในการสร้างให้เร็ว เรียนรู้ให้ไว” นี้ได้อย่างดี

สถาปัตยกรรม Microservice นับเป็นอีกวิธีในการสร้างแอปพลิเคชั่นสำหรับองค์กร โดยที่แอปพลิเคชั่นที่มีความซับซ้อนจะได้รับการรวบรวมเป็นโมดูลาร์ เป็นบริการอิสระ ในขณะที่การสื่อสารแบบ Microservice ที่ใช้ RESTful Application Programming Interface (APIs)

และ lightweight messaging จะยังคงช่วยปรับปรุงระบบปิดภายในองค์กรให้ทันสมัยขึ้น ด้วยสถาปัตยกรรม Microservices การพัฒนาแอปพลิเคชั่นจึงมีความคล่องตัวมากขึ้น ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในธุรกิจประเภทดิจิตัลได้

วัฒนธรรมของ DevOps สามารถวิวัฒนาการขึ้นเป็นความร่วมมือของทีมนักพัฒนาและทีมปฏิบัติการ ที่นำมาซึ่งโครงสร้างพื้นฐานและการสร้างความตระหนักในขั้นแรกๆ ของการสร้างสรรค์ ทีมนักพัฒนาได้ร่วมกันสร้างบริการเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจโดยเฉพาะ

ในขณะเดียวกันทีมปฏิบัติการก็จะรับมือในเรื่องของความปลอดภัย ข้อกำหนด การแก้ไขปัญหาของแอปพลิเคชั่น และการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน DevOps สามารถช่วยทีม IT รวมเอาการสร้างแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือและการประยุกต์ระบบหลังบ้านขององค์กรเพื่อนำมาสนับสนุนองค์กร

การนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติมาใช้ (Automation) เทคโนโลยีคือจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรม และเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ เปรียบได้กับเชื้อเพลิงพลังสูงที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงให้กับสถาบันทางการเงิน เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติเป็นมากกว่าการบริหารจัดการการออกแบบอุปกรณ์ต่างๆ 

และแต่ละทีมไปเขียนคู่มือกันเอง แต่เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติจะเป็นประโยชน์ต่อระบบ IT ทั้งหมด การบริหารจัดการแอปพลิเคชั่นให้ได้ประสิทธิผล จำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือที่สามารถจัดหาทรัพยากร ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ และออกคำสั่งไปยังสภาพแวดล้อมต่างๆ 

ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ทุกอย่างและทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้รวดเร็วยิ่งขึ้น Grab คือตัวอย่างความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีมาช่วยธุรกิจเปลี่ยนผ่าน ด้วยการปรับปรุงคุณลักษณะของแอปพลิเคชั่นเพื่อรองรับการใช้งานซ้ำๆ หลายร้อยครั้งในแต่ละสัปดาห์

แอปพลิเคชั่นสำหรับการเรียกรถนี้ควรจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นและมีความเสถียรที่ดียิ่งขึ้น และสามารถช่วยทีมวิศวกรรมให้สามารถบริหารจัดการได้ง่ายGrab ระบุว่าจะเพิ่ม uptime ของการใช้งานแอปพลิเคชั่นแบบองค์รวมขึ้นเป็น 99.99% พร้อมทั้งลดเวลาในการพัฒนาและปรับปรุงแอปพลิเคชั่นลง

จึงเป็นผลให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชั่นได้ เมื่อต้องการ และทีม IT ก็ยังสามารถนำเสนอระบบที่เสถียรและมีประสิทธิภาพในการจำแนกให้เหมาะสมกับฟีเจอร์และการเติบโตของฐานลูกค้าได้อีกด้วย

การทำงานร่วมกัน อุตสาหกรรมการให้บริการทางการเงินได้เริ่มเปิดรับนวัตกรรมมากขึ้น ปัจจุบันผู้มีหน้าที่กำกับดูแลในภูมิภาคสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมนำเอา APIs ไปใช้เป็นรากของการพัฒนานวัตกรรม ด้วยตระหนักถึงกระแสดังกล่าว ธนาคารในภูมิภาคบางแห่งได้เปิดช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลด้วย APIs

เพื่อที่จะให้พันธมิตรของตนผสานรวมผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ มุ่งหวังพัฒนาประสบการณ์การใช้บริการที่ดีขึ้นของลูกค้าผ่านแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ การทำงานร่วมกันครั้งนี้ทำให้องค์กรได้ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของกันและกันในการผลักดันนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ของลูกค้า

จิม ไวท์เฮิร์ทส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเร้ดแฮท กล่าวในงาน 2017 Red Hat Summit กล่าวว่า ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่ผันแปรตลอดเวลา การวางแผนคือสิ่งที่ใช้ไม่ได้อีกต่อไป รูปแบบการทำงานแบบเดิมๆ ที่ประกอบไปด้วย “การวางแผน การกำหนดทิศทาง และลงมือการปฏิบัติ” นั้นอาจไม่เหมาะสมอีกต่อไป

เพราะความสามารถของมนุษย์ในการคาดเดาอนาคตนั้นอาจลดความน่าเชื่อถือลง เนื่องด้วยโลกที่หมุนเร็วขึ้น คาดเดายากขึ้น และซับซ้อนมากขึ้น สิ่งที่ผมเชื่อมั่นว่าสำคัญคือ การติดอาวุธให้กับองค์กร สร้างกองทัพที่มีการบริหารจัดการได้อย่างดี

และมีการทำงานร่วมกันกับระบบนิเวศน์ที่ดีของพันธมิตร องค์กรที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีก็จะผงาดขึ้นเป็นผู้ชนะในสงครามที่ผันแปรอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมการเงินนี้

ส่วนขยาย

* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ ไม่มีวัตถุมุ่งเพื่อโจมตี หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง 
** Compose : ชลัมพ์ ศุภวาที (Editors and Reporters)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com

สามารถกดติดตาม ข่าวสาร และบทความทางด้านเทคโนโลยี ของเราได้ที่